เหตุการณ์ความรุนแรงในครอบครัว “กระทบจิตใจเด็กและเยาวชน” ถูกซึมซับกลายเป็นประสบการณ์โดยไม่รู้ตัว “บางคนมีพฤติกรรมเบี่ยงเบนต่อต้านสังคม” นำไปสู่การทำความรุนแรงกับผู้อื่น และกระทำผิดกฎหมายมีความเสี่ยงต่อ “การเป็นอาชญากรวัยผู้ใหญ่” เป็นภัยร้ายในสังคมเต็มตัวสักวันแม้ว่า “ปัญหาความรุนแรงในเด็ก และเยาวชน” จะเป็นประเด็นที่สังคมให้ความสนใจหาแนวทางแก้ไขมาตลอด “แต่กลับไม่สร้างความเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจน” สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) (TIJ) จึงจัดเสวนาเชิงวิชาการเด็ก x ความรุนแรง : ตกผลึกบทบาทของสังคมกับความรุนแรงในเด็กเพื่อระดมสมองหาทางป้องกันความรุนแรงในเด็ก ครอบครัว และสังคมนั้น ผศ.ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์ คณบดีและอาจารย์แขนงวิชาจิตวิทยาการปรึกษา คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกว่า ความรุนแรงในเด็ก และเยาวชน มักเป็นพฤติกรรมการเรียนรู้เพื่อตอบสนองอารมณ์ความโกรธ ไม่พอใจ สะสมกันมาเรื่อยๆ แล้วการเรียนรู้นี้ “ไม่ใช่มีมาตั้งแต่เกิด” จากงานวิจัยของคณะครุศาสตร์ จุฬาฯ ปี 2566 มีการศึกษาความรุนแรงบนโลกไซเบอร์ 2,000 ตัวอย่าง ผลปรากฏว่า 40.7% เคยเห็นเหตุการณ์ 31% เคยกระทำเอง และ 28% เคยถูกกระทำ นั้นก็สะท้อนว่า “ความรุนแรงยังคงเพิ่มขึ้น” ถ้าไม่นับเฉพาะความรุนแรงในทางกฎหมายเท่านั้นทว่า “ปัจจัยบีบให้เด็ก และเยาวชนใช้ความรุนแรงนั้น” ในทางจิตวิทยามักมาจากเหตุ 3 ด้าน คือ 1.“การแสดงออกถึงความโกรธ” เป็นอารมณ์ภายในที่ไม่สามารถควบคุมได้แล้วแสดงออกมานี้ 2.ความต้องการควบคุมจัดการ อันเป็นพฤติกรรมต้องการควบคุมคนอื่น จึงมักใช้ความรุนแรง เพราะสามารถควบคุมได้ง่ายข้อ 3.เรียนรู้จากตัวแบบ ตอนนี้โยนความรับผิดชอบให้สื่อ แต่ตัวแบบสำคัญคือคนใกล้ตัวอย่างพ่อแม่ความเห็นนี้ตรงกับ โชติมา สุรฤทธิธรรม ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาเด็กและเยาวชน กรมพินิจและคุ้มครองเด็ก และเยาวชน กระทรวงยุติธรรม บอกว่า ความรุนแรงในเด็ก และเยาวชนที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตั้งแต่ปี 2560-2563 มีสถิติลดลงค่อนข้างมาก กระทั่งในปี 2564 ตัวเลขเพิ่มขึ้น 3% และในปี 2565 สูงถึง 5.2%ส่วนความรุนแรงเกี่ยวกับการใช้อาวุธในปี 2565 สูงขึ้น 4.9% เพิ่มเล็กน้อยจากปี 2564 อยู่ที่ 4.5% และความรุนแรงต่อการทำร้ายร่างกายในปี 2560 มีสถิติลดลงแต่พอมาปี 2565 ตัวเลขกลับดีดขึ้นถึง 31% ข้อมูลนี้มาจาก “พนักงานควบคุมความประพฤติ” มีการสัมภาษณ์เก็บตัวอย่างจากเด็กเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในช่วงที่ผ่านมานี้สาเหตุปัจจัย “ก่อความรุนแรง” มาจากสภาพแวดล้อมโดยเฉพาะในครอบครัวที่มีความขัดแย้งเกิดขึ้นบ่อยๆ “บางครั้งมักใช้ความรุนแรงจัดการกับความขัดแย้งนั้น” ทำให้เด็กเติบโตในสภาพความตึงเครียด และเรียนรู้วิธีการจัดการปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้วาจารุนแรง หรือการกระทำที่รุนแรงนั้นอีกประการ “การควบคุมระเบียบวินัยที่มีต่อเด็ก” ผู้ปกครองจะมีวิธีการจัดการแบบไม่คงที่ขึ้นอยู่กับอารมณ์ความพร้อม เช่น บางทีพ่อแม่อารมณ์ดี ก็อนุญาตให้ทำเรื่องนั้นได้ แต่ถ้าหงุดหงิดก็จะควบคุมเข้มงวดมากขึ้น ถัดมา “พยาธิสภาพ” แม้ไม่ใช่ปัจจัยโดยตรงถ้าพื้นฐานพ่อแม่มีปัญหาการใช้ความรุนแรงก็จะส่งผ่านทางพันธุกรรมสู่ลูกต้องอยู่บนเส้นทางอุปสรรคการพัฒนาการที่เหมาะสม ทำให้เรียนรู้การใช้ชีวิตด้วยความรุนแรงเสมอไม่เท่านั้น “การเพิกเฉยละเลยดูแลลูกๆ” ก็มักเปิดโอกาสให้เกิดปัจจัยเสี่ยงที่ไม่เหมาะสมได้ง่าย “ด้วยเด็กจะหันไปใช้เวลาอยู่กับเพื่อนมากขึ้น” แล้วเคยมีข้อมูลค่อนข้างชัดเจนว่า “สิ่งนี้เป็นต้นเหตุให้เด็กเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องไม่ดี” เพราะเพื่อนเป็นกลุ่มมีค่านิยมความเชื่อของการใช้ความรุนแรงผลคือ “เกิดความล้มเหลวทางการศึกษา” ที่ต้องถูกให้ออกจากโรงเรียนกลางเทอม กลายเป็นปัจจัยหนึ่งผลักดันเด็กออกมาใช้ชีวิตภายนอกโดยไม่มีครอบครัวกำกับดูแลที่อาจเจอสิ่งแวดล้อมไม่เอื้อต่อการพัฒนาเชิงสร้างสรรค์ล้วนเป็นปัจจัยร่วม “เกิดการสะสมเป็นวงจรการใช้ความรุนแรง” ที่มีแนวโน้มสูงต่อการกระทำความผิดเพราะด้วย “เด็กอายุไม่ถึง 20 ปีมักมีวุฒิภาวะกระบวนการคิด วิเคราะห์ได้ไม่เต็มที่” จำเป็นต้องมีปัจจัยเชิงบวกสนับสนุนอย่างเช่น “ผู้ใหญ่คอยให้คำแนะนำเกื้อหนุนให้กำลังใจ” เพื่อช่วยลดทอนอิทธิพลปัจจัยเสี่ยงต้องเผชิญกับปัญหาชีวิตกลายเป็นตัวแปรให้เด็กเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตามมาได้อย่างไรก็ดีแม้ “ผู้ใหญ่คอยดูแลเกื้อหนุนนี้” ก็ยังปรากฏมีเด็กบางส่วนยังคงมีพฤติกรรมการใช้ความรุนแรงจนต้องเข้าสู่ “กระบวนการทางกฎหมาย” เมื่อพ้นออกจากกระบวนการยุติธรรม “พฤติกรรมความเสี่ยงนั้นก็ยังคงอยู่” ทำให้เป็นกลุ่มที่ต้องได้รับการบำบัดอย่างเข้มงวดประมาณ 5% ของจำนวนเด็กทั้งหมดทว่าทุกๆปีที่เด็กเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมมักเป็นช่วงวัยอายุ 16-17 ปี คิดเป็นร้อยละ 40-50 เด็กอายุ 15 ปี ร้อยละ 20 เด็กอายุ 10-11 ปีเป็นกลุ่มที่มีน้อย และจากงานวิจัยศึกษามาพบว่าโดยทั่วไปความรุนแรงในเด็กที่เกิดขึ้นช่วงวัยรุ่นจะค่อยๆลดลงเองตามธรรมชาติของการพัฒนาทางด้านสมอง และประสบการณ์ของเด็กที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน “เด็ก” จะมีพันธะผูกกับเป้าหมายชีวิตชัดเจนขึ้น ทั้งเรื่องการเรียน การงาน การวางแผนมีครอบครัวในอนาคต เมื่อเด็กออกจากวัยรุ่นเข้าสู่ผู้ใหญ่ตอนต้นความเสี่ยงนั้นก็จะค่อยๆหายลดลงตามธรรมชาติ“การบังคับใช้กฎหมายถือเป็นความรุนแรงในเด็ก และเยาวชนที่เกิดขึ้นแล้วจนเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอันถูกลงโทษฟื้นฟูบำบัดเสร็จสิ้น เป็นเรื่องการแก้ปัญหาปลายเหตุที่มีต้นทุนสูงมหาศาล เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นส่งผลเสียต่อผู้กระทำผิด หรือผู้เสียหาย ดังนั้นสังคมควรจำเป็นต้องมุ่งโฟกัสกับการป้องกันเป็นสำคัญ” โชติมาว่าธนะชัย สุนทรเวช ผจก.อาวุโสด้านการพัฒนาหุ้นส่วนทางสังคมและการมีส่วนร่วม TIJ และผู้พิพากษาสมทบศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง บอกว่า การลดความรุนแรงในเด็ก และเยาวชนต้องเลี้ยงดูจากครอบครัวเป็นปัจจัยสำคัญดีที่สุด ด้วยการเลี้ยงเชิงบวกให้คำชม หรือจูงใจ อันเป็นอีกวิธีที่จะช่วยได้ย้ำทางกลับกัน “ถ้ามีการเลี้ยงลูกด้วยวิธีดุด่าตี หรือรักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี” อันเป็นการลงโทษด้วยบางคนคิดว่าการตีเป็นวิธีทำให้ “ลูกกลัวหลาบจำ” แต่ที่จริงแล้วส่งผลบานปลายเป็นปัญหาด้านอื่นแทนด้วยซ้ำเช่นกรณีลูกชายอยู่ช่วงวัยรุ่น 15-16 ปี ก็ใช้การพูดคุยทำความเข้าใจมากกว่าโกรธแล้วดุด่าตี เพราะวัยรุ่ยมักมีฮอร์โมนต่อต้านต้องพูดคุยให้ลูกรู้สึกว่า “เราคือเพื่อน” แล้วค่อยชักจูงให้เดินตามเส้นทางของเราง่ายขึ้นประเด็น “การลงโทษทางกฎหมาย” ความจริงแล้วเรื่องนี้มีทางออกจากการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมของคดีเด็ก และเยาวชนได้ กล่าวคือคำว่า “เด็ก” ต้องมีอายุต่ำกว่า 15 ปี “เยาวชน” มีอายุระหว่าง 15-18 ปี ซึ่งมีมาตรา 90 มาตรา 132 แห่ง พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553สามารถทำแผนเกี่ยวกับ “การฟื้นฟูให้เด็กแก้ไขข้อผิดพลาดแทนการเข้าไปอยู่ในศูนย์ฝึก” แล้วยังมีกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ อันเป็นกระบวนการที่ช่วยให้ผู้กระทำผิด หรือเหยื่อ รวมถึงผู้เสียหายให้มีปฏิสัมพันธ์ผ่าน “คนกลาง” เพื่อให้เกิดผลที่เป็นธรรมต่อคู่กรณีทั้งสองฝ่าย อีกทั้งยังเป็น “การเยียวยาผู้เสียหายต่อการกระทำผิดนั้น” ด้วยการให้เด็กรู้สึกผิดอย่างจริงใจตามหลักการคุยกัน “เพื่อช่วยกันแก้ปัญหา” สิ่งนี้จะช่วยลดเรื่องการกระทำผิดซ้ำของตนเองด้วย และยิ่งกว่านั้นคือ “ผู้ใหญ่จะเข้าใจเด็กมากขึ้น” แล้วเด็กก็จะเกิดความเห็นอกเห็นใจความรู้สึกอีกฝ่ายด้วยซ้ำเพราะมิใช่ว่า “เด็กทำผิดแล้วก็จะมุ่งหวังแต่การลงโทษสถานเดียว” ดังนั้นสิ่งนี้จะเป็นทางเลือกการปรับวิธีคิดหันมาพูดคุยทำความเข้าใจที่จะช่วยระงับปัญหาของเด็ก และเยาวชนใช้ความรุนแรงได้ดีในอนาคตสุดท้ายย้ำว่า “ความรุนแรงในเด็ก และเยาวชน” หยุดยั้งได้แต่ต้องอาศัยความร่วมมือของทุกคนในสังคมเข้ามามีบทบาทในการป้องกัน “เป็นแบบอย่างที่ดี” โดยไม่มีพฤติกรรมแสดงออกถึงความรุนแรง.