เมื่อไม่นานมานี้ ศูนย์พยากรณ์สภาพอากาศ (Climate Prediction Center) แห่งองค์การบริหารสมุทรศาสตร์และบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (National Oceanic and Atmospheric Administration : NOAA) ได้ออกรายงานเตือนภัยถึงภาวะเอลนีโญ “El Nino watch” ที่น่าจะส่งผลต่อโลกในช่วงระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงกรกฎาคม 2566และนอกจากเอลนีโญแล้ว ขณะนี้สภาพอากาศได้เข้าสู่สภาวะ “เป็นกลาง” ที่เรียกว่า ENSO หรือแยกเป็น EN+SO ซึ่งเป็นการเรียกรวมกันของปรากฏการณ์เอลนีโญ (El Nino) กับความผันแปรของระบบอากาศในซีกโลกใต้ (Southern Oscillation) ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน ระหว่างปรากฏการณ์ในมหาสมุทร หรือน้ำ และบรรยากาศ คือลม ซึ่งมีผลอย่างมากต่ออากาศและรูปแบบสภาพภูมิอากาศในหลายพื้นที่ของโลกเอลนีโญเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในมหาสมุทร ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมินํ้า และการไหลเวียนของกระแสน้ำ ในกรณีที่อุณหภูมิน้ำ (บริเวณฝั่งตะวันออกของมหาสมุทรแปซิฟิก) อุ่นขึ้นเรียกว่าเอลนีโญ และในทางกลับกันถ้าอุณหภูมินํ้าเย็นลงจะเรียกว่าลานีญา จากการติดตามแนวโน้มการเกิดเอลนีโญ ของนักวิทยาศาสตร์ของ NOAA ระบุว่า โลกอาจเผชิญกับปรากฏการณ์ ‘ซุปเปอร์เอลนีโญ’ หรือปรากฏการณ์สุดขั้ว ซึ่งมีอุณหภูมิสูงมากในบริเวณตอนกลางของมหาสมุทรแปซิฟิกบริเวณเส้นศูนย์สูตรในปลายปีนี้ โดยปรากฏการณ์เอลนีโญที่อาจเกิดขึ้น เป็นรูปแบบหนึ่งของภาวะโลกร้อนในมหาสมุทรแปซิฟิกที่สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อภัยพิบัติสภาพอากาศทั่วโลกสำหรับปรากฏการณ์เอลนีโญสุดขั้วครั้งล่าสุดเกิดขึ้นในปี 2559 ส่งผลให้อุณหภูมิโลกพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยมีสาเหตุมาจากภาวะโลกร้อนที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ ทำให้เกิดน้ำท่วม ภัยแล้ง และโรคระบาดสำนักงานอุตุนิยมวิทยาของออสเตรเลียได้ทำการวิเคราะห์แบบจำลองที่แตกต่างกันถึง 7 โมเดล ทั้งจากสำนักงานด้านสภาพอากาศในอังกฤษ ญี่ปุ่นและสหรัฐฯ ซึ่งทั้งหมดบ่งชี้ว่าอุณหภูมิพื้นผิวน้ำทะเลจะทะลุเกณฑ์การก่อตัวของเอลนีโญภายในเดือนสิงหาคม“มีโอกาสเกิดปรากฏการณ์เอลนีโญ ประมาณ 50% ก่อนสิ้นปี 2566” สำนักงานอุตุนิยมวิทยาของออสเตรเลียเตือน ลักษณะของปรากฏการณ์เอลนีโญที่เด่นชัด คือ อุณหภูมิผิวน้ำทะเลสูงขึ้นอย่างน้อย 0.8 องศาเซลเซียส เหนือค่าเฉลี่ยระยะยาวในพื้นที่แถบเส้นศูนย์สูตรกลางมหาสมุทรแปซิฟิก ขณะที่เอลนีโญแบบสุดขั้วมีอุณหภูมิในพื้นที่นั้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยถึง 2 องศาเซลเซียส ซึ่งการคาดการณ์หลายแบบจำลองบ่งชี้ว่าอุณหภูมิอาจสูงขึ้นได้ภายในเดือนตุลาคมดร.ไมค์ แมคฟาเดน นักวิจัยอาวุโสของ NOAA กล่าวว่า ในอดีตเอลนีโญมักจะเกิดขึ้นทุกๆ 4 ปี ซึ่งในปีนี้เป็นอีกครั้งที่เราจะประสบกับปรากฏการณ์นี้ โดยขนาดของปรากฏการณ์เอลนีโญที่คาดการณ์ไว้ แสดงให้เห็นการกระจายที่กว้างมาก ส่วนความรุนแรงมีตั้งแต่ขนาดใหญ่มากไปจนถึงระดับอ่อนมาก“ปรากฏการณ์เอลนีโญครั้งใหญ่มักจะเกิดขึ้นทุกๆ 10 ถึง 15 ปี ดังนั้นจึงเป็นเรื่องผิดปกติมากที่จะเห็นปรากฏการณ์เอลนีโญในเร็วๆนี้หลังจากเกิดครั้งใหญ่ล่าสุดในปี 2558 และ 2559” ดร.แมคฟาเดนบอกและว่า ปรากฏการณ์เอลนีโญขนาดใหญ่จะมีผลไปทั่วโลก ทั้งความแห้งแล้ง น้ำท่วม คลื่นความร้อน และพายุที่รุนแรง ซึ่งถ้าเกิดขึ้นเราจะต้องระวังตัว และเตรียมพร้อมไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง“ในปี 2547 มีการคาดการณ์ปรากฏการณ์เอลนีโญตั้งแต่เนิ่นๆ แต่กลับไม่ได้เกิดขึ้นจริง ปรากฏการณ์เอลนีโญที่รุนแรงที่สุดในศตวรรษนี้เกิดขึ้นในปีถัดมา” ดร.อากุส ซานโตโซ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในมหาสมุทร แปซิฟิกจากมหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ ให้ข้อมูล พร้อมกับบอกว่า การสังเกตการณ์มีความน่าเชื่อถือมากขึ้นในทศวรรษที่ 1950 มีปรากฏการณ์เอลนีโญสุดขั้วเพียง 3 ครั้ง คือปี 2525 ถึง 2526 ปี 2540 ถึง 2541 และปี 2558 ถึง 2559 แคทเธอรีน กันเตอร์ นักภูมิอากาศวิทยาแห่งสำนักงานอุตุนิยมวิทยาออสเตรเลีย กล่าวว่า สำนักงานยังเฝ้าติดตามอุณหภูมิในมหาสมุทร อินเดีย ซึ่งมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเล็กน้อยของสภาวการณ์ มีแนวโน้มที่จะทำให้เกิดสภาพอากาศที่แห้งแล้งขึ้นทางตะวันออกเฉียงใต้และตอนกลางของประเทศ ซึ่งนั่นหมายถึงผลกระทบของเอลนีโญมีความรุนแรงมากขึ้นเอลนีโญที่แรงที่สุดในศตวรรษนี้ซึ่งอยู่ในช่วงตั้งแต่ปี 2558 ถึง 2559 ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับการระบาดของโรคทั่วโลก ซึ่งรวมถึงอหิวาตกโรคและไข้เลือดออกสำหรับการคาดการณ์ ณ เวลานี้คือ อากาศในปีนี้จะร้อนกว่าปี 2565 และเป็นปีที่ร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์ครั้งที่ 5 หรือ 6 และภาวะอากาศร้อนเช่นนี้อาจยาวนานถึงปี 2567 ที่อุณหภูมิทำลายสถิติได้ ส่วนในยุโรปอาจนำไปสู่ฤดูหนาวที่หนาวเย็นกว่าและแห้งกว่าในภาคเหนือและฤดูหนาวที่มีฝนตกชุกในภาคใต้ตามรายงานของ NOAA ชี้ว่า ในช่วงที่เกิดปรากฏการณ์ อุณหภูมิโลกจะเพิ่มขึ้นประมาณ 0.2 องศาเซลเซียส ซึ่งหมายถึงการทำลายขีดจำกัดภาวะโลกร้อนสำคัญที่ 1.5 องศาเซลเซียสAdam Scaife ศาสตราจารย์ประจำสำนักอุตุนิยมวิทยาของอังกฤษ (UK Met Office) บอกว่า ความน่าจะเป็นที่อุณหภูมิจะเพิ่มขึ้น 1.5 องศาเซลเซียสเป็นปีแรกในช่วง 5 ปีข้างหน้า ตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 50% ส่งผลให้โลกต้องเผชิญกับคลื่นความร้อนที่รุนแรงขึ้น ฤดูร้อนที่ยาวนานขึ้น และพายุที่รุนแรงขึ้นอินโดนีเซียและออสเตรเลียมีแนวโน้มที่จะประสบกับสภาพอากาศที่ร้อนและแห้งกว่าเดิมและมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดไฟป่ามากขึ้น มรสุมในอินเดียและฝนในแอฟริกาใต้อาจลดลง ในขณะที่แอฟริกาตะวันออกอาจมีฝนตกและน้ำท่วมมากขึ้น เอลนีโญยังมีผลให้เกิดพายุเฮอริเคนในมหาสมุทรแปซิฟิกด้วย.