เมื่อสังคมเปลี่ยนเข้าสู่ “โลกสื่อสาร ไร้พรมแดน” เป็นช่องทางการสนทนาสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นได้ง่ายจน “ผู้ชายหลายคนหลงนอกใจภรรยาแอบไปมีเมียน้อย” กลายเป็นความร้าวฉานในครอบครัวนั้นก็ทำให้ “เมียหลวงที่จดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมาย” ต้องออกมาปกป้องศักดิ์ศรีด้วยการใช้สิทธิ “ยื่นฟ้องเมียน้อย หรือกิ๊ก” เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายโดยไม่จำเป็นต้องหย่ากับสามีเยอะมากขึ้นเรื่อยๆนั้น อนุสรณ์ อะสุระพงษ์ หรือทนายชายพัฒน์ เจ้าของฉายาทนายเมียหลวง บ.ชายพัฒน์ อินเตอร์ ลอว์ จำกัด บอกว่าจริงๆแล้ว “ปัญหาสามีแอบมีเมียน้อย หรือการมีเพศสัมพันธ์นอกสมรสเกิดขึ้นมายาวนาน” ที่เป็นวัฒนธรรมความเชื่อฝังรากลึกอยู่ในสังคมไทยตั้งแต่อดีตมาจนถึงวันนี้ทำให้ “เมียหลวง” ต้องเผชิญความอ้างว้างทุกข์ระทมเจ็บชํ้าน้ำใจแสนสาหัส แต่ว่าหลายคนไม่รู้จะทำเช่นไรคงได้แต่ทนฝืนใช้ชีวิตคู่อยู่ร่วมกันไปยิ่งปัจจุบันนี้ “สื่อโซเซียลมีบทบาทในการใช้ชีวิต” ส่งผลให้ผู้ชายหลายคนใช้เป็นช่องทางสำหรับ “การสนทนาทำนองเล่นชู้สาวกับหญิงอื่นได้ง่ายกว่าอดีต” สุดท้ายพัฒนาสู่การเป็นเมียน้อยจนกลายมาเป็น “กรณีเมียหลวงบุกงานแต่งสามีตำรวจ ใน จ.ชัยนาท” ก่อนที่จะมีการฟ้องเรียกค่าเสียหาย 3 แสนบาท อนุสรณ์ อะสุระพงษ์ หรือทนายชายพัฒน์เรื่องนี้กลายเป็นไวรัลบนโลกออนไลน์ส่งผลให้ “เมียหลวง” เริ่มเข้าใจการใช้สิทธิทางกฎหมายในการฟ้องเมียน้อยเรียกค่าเสียหายได้โดยไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนหย่าด้วยซ้ำ เพราะกฎหมายไทยมุ่งปกป้องสิทธิของเมียหลวงมากกว่าเมียน้อยที่มักสร้างความแตกแยกให้ครอบครัวผู้อื่น นับแต่นั้นทำให้คดีฟ้องเมียน้อยสูงมากขึ้นเรื่อยๆทำให้ปัจจุบัน “คดีฟ้องชู้” มีทั้งเมียหลวงฟ้องเมียน้อย และสามีฟ้องผัวน้อย เพราะประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์มาตรา 1523 วรรค 2 (ป.พ.พ.ม.) ระบุให้สามีเรียกค่าทดแทนจากผู้ซึ่งล่วงเกินภริยาไปในทำนองชู้สาวได้ และภริยาจะเรียกจากหญิงอื่นที่แสดงตนเปิดเผยเพื่อแสดงว่าตนมีความสัมพันธ์กับสามีในทำนองชู้สาวได้เช่นกันแต่การฟ้องคดีตามมาตรานี้ต้องแบ่งออกเป็น 2 กรณี กล่าวคือ “กรณีแรก...สามีภรรยาต้องจดทะเบียนสมรสกันก่อน” แล้วการจดทะเบียนนี้แม้ทั้ง 2 คนจะแยกกันอยู่นานเพียงใดก็ตาม “หากยังไม่หย่า” ย่อมถือเป็นสามีภรรยาถูกต้องตลอดไป ส่วนสามีภรรยาอยู่กินโดยไม่จดทะเบียนนั้นจะทำการเรียกร้องอะไรไม่ได้ถัดมาคือ “ภริยาจะฟ้องเรียกค่าเสียหายจากชู้ได้” พฤติกรรมต้องแสดงออกอย่างเปิดเผยว่ามีความสัมพันธ์ในทำนองชู้สาวกับสามีอันมีหลักฐานชัดเจน เช่น รูปคู่ วิดีโอคู่ ที่ไปด้วยกันบ่อยๆ ทั้งไปวัด งานแต่ง ควงออกงานสังคม ท่องเที่ยว กินข้าว สิ่งนี้ล้วนเป็นการแสดงให้คนทั่วไปทราบว่า 2 คนคบหาเป็นคนรักมากกว่าคำว่าเพื่อนหากเป็นกรณีที่ 2...“การฟ้องเมียมีชู้” ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานชัดเจนเพียงแค่กระทำผิดเล่นชู้ที่รู้จักกันของคนจำนวนหนึ่งเท่านี้ “สามี” ก็สามารถฟ้องเรียกค่าเสียหายเมียมีชู้ได้ แล้วสิ่งที่น่าสังเกตในยุคนี้คือ “สามีภรรยาหลายคู่” ต่างฝ่ายต่างมีพฤติกรรมนอกใจออกไปหากินนอกบ้าน ซึ่งเรื่องนี้ค่อนข้างเกิดมากขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน ในส่วน “ค่าเสียหายฟ้องชู้” ตาม ป.พ.พ.ม.1525 ให้อำนาจศาลกำหนดตามสมควรแก่ “พฤติการณ์ความเสียหาย” เพราะเรื่องนี้เป็นความเสียหายไม่มีใบเสร็จ “ศาล” จึงต้องพิจารณาค่าทดแทนที่เกิดขึ้นตั้งแต่ระยะเวลาจดทะเบียนกันมากี่ปี มีบุตรด้วยกันกี่คน ฐานะทางสังคม อาชีพ การศึกษา ความราบรื่นในครอบครัวก่อน-หลังมีชู้ทั้งต้องพิจารณา “การกระทำของชู้มีเจตนา” กระทำการเผยแพร่ให้คนทราบเพียงใด และส่งผลกระทบต่อเมียหลวงโดยตรงที่อาจต้องรักษาตัวหรือไม่ ดังนั้นการฟ้องต้องมีหลักฐานของความเสียหายนำมาประกอบไม่ว่าจะเป็นภาพถ่าย คลิปวิดีโอ คลิปเสียง ข้อความ หลักฐานการโอนเงิน ใบเสร็จค่าใช้จ่าย ใบรับรองแพทย์ต่างๆเรื่องนี้ผู้เสียหายต้องนำสืบให้ได้ว่า “ต้องการให้เยียวยาเท่าใด” สมัยก่อนความเสียหายไม่ค่อยสูงมากแต่ตอนนี้ “การเป็นชู้มีหลายกรณีถูกเปิดเผยผ่านโซเซียล” ทำให้เมียหลวงเกิดความเสียหายสูงขึ้นแล้ว “ศาล” ก็มักจะพิจารณาหลักฐานนี้มาประกอบให้สอดรับกับสถานการณ์ด้วยเช่นกันตามประสบการณ์ทำคดีฟ้องชู้อายุน้อยสุด 18 ปี และอายุสูงสุด 70 ปี เพราะเมียหลวงผู้ป่วยติดเตียงจริงๆแล้ว “คดีฟ้องชู้” ส่วนใหญ่เป็นการฟ้องแก้เกี้ยวมากกว่าตัวเงิน “อันเป็นลักษณะการปกป้องศักดิ์ศรี” ด้วยเมียหลวงอยากใช้สิทธิครอบครองทะเบียนสมรสต่อไปแต่ก็มีบ่อยครั้งที่ชนะคดีแล้วสามีกลับไปคบหาเมียน้อยคนเดิม หรือคบหาคนใหม่ ทำให้เมียหลวงบางคนจำเป็นต้องฟ้องเมียน้อยคราวเดียวพร้อมกัน 2-3 คนเลยก็มี สาเหตุจาก “เมียหลวงบางคนไม่ได้ทำงาน” ต้องให้สามีหาเงินเลี้ยงดูจนไม่สามารถไปไหนได้แม้รู้ว่า “สามีเจ้าชู้” ก็ไม่ยอมเลิกราต้องใช้สิทธิทางกฎหมายนี้ “ฟ้องเรียกค่าเสียหาย” แต่ถ้าเป็นกรณียินยอม หรือรู้เห็นเป็นใจให้สามีมีเมียน้อยเช่นนี้ เมียหลวงจะฟ้องคดีไม่ได้ แต่เมียน้อยอาจต้องนำสืบให้ได้ว่าเมียหลวงยินยอมอย่างไรประการถัดมาคือ “ทรัพย์สิน” ตามหลักนับแต่จดทะเบียนสมรสแล้ว “สามีภรรยาย่อมเป็นคนเดียวกัน” ดังนั้นทรัพย์สินเงินทองต่างหามาได้ร่วมกันแม้ว่าจะเป็นชื่อบุคคลใดก็ตาม “ย่อมเป็นกรรมสิทธิ์ของทั้งคู่” ถ้ามีการจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์มูลค่าสูงจำเป็นต้องได้รับความยินยอมทั้ง 2 ฝ่ายเสมออย่างเช่นกรณี “กู้เงินซื้อบ้านมักต้องลงชื่อทั้ง 2 ฝ่าย” ยกเว้นสามีที่ยังไม่จดทะเบียนหย่าติดเมียน้อยจนไม่กลับบ้าน และไม่ยอมเซ็นชื่อกู้เงิน “เมียหลวง” ต้องยื่นคำร้องต่อศาลออกคำสั่งแสดงเจตนาแทนได้หากถ้าเป็น “ทรัพย์สินหลังจดทะเบียนหย่า” ตามกฎหมายระบุชัดเจนเลยว่า “ทรัพย์มีเท่าใดต้องแบ่งกันคนละครึ่ง” แต่ในส่วน “บุตรจะอยู่กับใคร” หากตกลงกันไม่ได้ก็ต้องให้อำนาจ “ศาล” เป็นผู้พิจารณาตัดสินที่มักจะยึดหลักผลประโยชน์ของตัวเด็กว่าพ่อแม่คนใดเลี้ยงดู หรือให้การศึกษานั้นได้ถ้ากรณี “เด็กอายุ 13 ปี” ต้องรับฟังความต้องการของเด็กเป็นสำคัญ อย่างไรก็ดีการหย่าระหว่างสามีภรรยานั้น “บุตร” ยังมีสิทธิในทรัพย์มรดกทั้งของพ่อและแม่ดังเดิม แม้จะเปลี่ยนนามสกุลก็ไม่ทำให้ถูกตัดสิทธิไปได้ ประเด็น “สามีมีลูกกับเมียน้อย” ตามหลักสามารถรองรับการเป็นบุตรได้ และต้องจ่ายค่าเลี้ยงดูให้ด้วยแล้วถ้าแสดงตนว่า “เป็นบุตรโดยเปิดเผยจากเมียน้อย” ย่อมทำให้ลูกที่เกิดขึ้นมานั้นมีสิทธิได้รับมรดกเท่ากับลูกเมียหลวง แม้จะเลี้ยงลับๆแต่ถ้าเปิดเผยให้ญาติรับรู้ 1-2 คน “ลูกจากเมียน้อย” ก็จะมีสิทธิรับมรดกได้เช่นกันบางคำพิพากษาศาล “สามีพาเมียน้อยฝากท้อง” แล้วเสียชีวิตเมื่อลูกคลอดก็ได้สิทธิรับมรดกด้วยสุดท้ายฝากไว้ว่า “การใช้ชีวิตคู่” บางครั้งต้องเผชิญอุปสรรคหลายปัจจัยจนบานปลายเป็นปัญหาระหว่างคนในครอบครัวกระทบต่อ “ความสัมพันธ์การใช้ชีวิตคู่ระหว่างสามีภรรยา” ดังนั้นควรต้องเปิดอกพูดคุยกันถ้าหากไม่พูดคุยกัน “ยิ่งจะสร้างกำแพงหนาขึ้นเรื่อยๆ” ทำให้ความสัมพันธ์ชีวิตคู่กลายเป็นเรื่องยากที่จะทำลายกำแพงนั้นลงได้นำไปสู่ “สามีออกไปมีเมียน้อย” จนเกิดการฟ้องเรียกค่าเสียหายกันขึ้นแล้วมีหลายคู่จบลงด้วยการหย่าร้างแยกทางกัน ดังนั้นสามีภรรยา “อย่านิ่งนอนใจ” ควรหาสาเหตุให้เจอว่าเกิดอะไรขึ้นดังนั้นการหันหน้าคุยกันเป็นการแก้ปัญหาดีที่สุด “ความเห็นอกเห็นใจ” ตระหนักรู้ถึงความรู้สึกนึกคิดอีกฝ่ายให้ความรัก ใส่ใจ และแบ่งปันเวลาให้กันจะช่วยให้ปัญหาผ่านพ้นไปได้ด้วยดีเน้นย้ำว่า “เป็นผู้หญิงศักดิ์ศรีควรมี” ไม่ไปเป็นเมียน้อย หรือแย่งชิงสามีใคร เพราะการลักกินขโมยกินมักเป็นความสุขชั่วคราวแต่พอ “เมียหลวง” จับได้มักจบลงด้วยการก้มหน้ารับผลกรรมนั้นเสมอ.