กรณีหุ้นสื่อมวลชนกลายเป็น “นิติสงคราม” ใช้กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เพื่อต่อสู้กันทางการเมือง หลังจากที่นั่งรอคอย กกต.ให้เรียกตัวไปชี้แจงข้อ กล่าวหา แต่ยังเงียบเฉยอยู่ ในขณะผู้ร้องโหมกระพือข่าวแทบทุกวัน ในที่สุดนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ก็ต้องออกมาชี้แจงต่อประชาชน“ว่าที่” หรือผู้สมัครนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล เล่าว่า เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2550 สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ได้บอกเลิกสัญญาร่วมดำเนินการสถานีวิทยุโทรทัศน์กับบริษัทไอทีวี ทำให้ไอทีวีไม่สามารถใช้คลื่นความถี่ เพื่อประกอบกิจการวิทยุและโทรทัศน์ได้ ตั้งแต่บัดนั้นจนถึงปัจจุบันส่วนตัวนายพิธาได้รับแต่งตั้งจากศาล ให้เป็นผู้จัดการมรดกของบิดา ซึ่งมีหุ้นไอทีวีรวมอยู่ด้วย และต่อมาเมื่อ ปี 2557 หุ้นไอทีวีถูกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สั่งเพิกถอนหุ้นสามัญออกจากตลาดหลักทรัพย์ ไม่สามารถซื้อขายหุ้นได้ แต่นายพิธายังถือหุ้นแทนทายาทอื่นๆ จนเข้าสู่การเมือง ก็ได้แจ้งบัญชีทรัพย์สินต่อไปจากคำบอกเล่าของนายพิธา แสดงว่า ไอทีวีไม่มีสถานะเป็น “สื่อมวลชน” มากว่า 16 ปี ไม่สามารถใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองได้ เมื่อมีเรื่องร้องเรียน นายพิธาจึงตัดสินใจ “โอน” หุ้นให้ทายาทอื่นๆ เพราะมีความพยายามที่จะฟื้นคืนชีพไอทีวีให้เป็นสื่อมวลชน เหมือนกับการ “ปลุกผีคอมมิวนิสต์” ในยุคสงครามเย็นรัฐธรรมนูญ 2560 ฉบับปัจจุบัน เป็นฉบับแรกและฉบับเดียวใน 20 ฉบับของประเทศ ที่มีบทบัญญัติห้ามเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นหนังสือพิมพ์ ไม่ให้สมัคร ส.ส.หรือเป็นนายกรัฐมนตรี มีนักการเมืองถูกร้องในเรื่องนี้ 67 คน แต่ผิดจริงแค่ไม่กี่คน มีรายหนึ่งเป็นผู้สมัครระดับ อบต.ถูกศาลจังหวัดสั่งลงโทษ เพราะถือหุ้น อสมท.แค่ 5 บาทมีคดีที่เคยเป็นข่าวระดับประเทศ ผู้สมัคร ส.ส.คนหนึ่งถูกตัดสิทธิไม่ให้สมัคร ส.ส.นครนายก เพราะถือหุ้นสื่อ 200 หุ้น เรื่องถึงศาลฎีกา ศาลตัดสินให้ผู้สมัคร ส.ส. มีสิทธิ์ เพราะมีหุ้นในสื่อเล็กน้อย ไม่น่าจะมีอำนาจหรืออิทธิพลที่จะใช้สื่อ เพื่อประโยชน์ทางการเมือง ไม่ใช่ว่าใครมีหุ้นสื่อก็จะต้องตัดสิทธิ์ทุกรายต้องดูวัตถุประสงค์ หรือเจตนารมณ์ของกฎหมายด้วย ทำไมจึงห้ามเจ้าของสื่อสมัคร ส.ส.หรือเป็นนายกรัฐมนตรีเพื่อไม่ให้ใช้สื่อเป็นเครื่องมือทางการเมืองใช่หรือไม่ แค่ถือหุ้นสื่อไม่ กี่หุ้น ไม่ทำให้มีอำนาจหรืออิทธิพลที่จะใช้สื่อในทางมิชอบ สื่อหุ้นแต่ทำหน้าที่สื่อไม่ได้จะตรงกับเจตนารมณ์กฎหมายหรือไม่.