ช่วงการเมือง “MOU” กลางกระแสข่าวสับสน ดีลลับ ดีลรัก ดีลด่า เดี้ยวตบ เดี้ยวจูบ ฯลฯ สื่อที่สนิทกับ ดร.ภูษณ ปรีย์มาโนช ตั้งแต่ตอนทำงานการเมือง จึงขอให้วิเคราะห์ทิศทาง เพราะจะมองได้แม่นและพูดได้มัน แต่คราวนี้ คุณภู บอกว่า ไม่สนใจนัก เพราะกำลังทำเรื่องอื่น--จากที่จะคุยการเมือง สื่อจึงได้อัปเดตชีวิตอดีตรัฐมนตรีชื่อดัง ในมุมที่ต่างสุดขั้ว เพราะจากที่เชื่อว่า นอกจากความรู้ความสามารถ การทำอะไรให้ได้รับความเชื่อถือ ผู้บริหารจะต้องมีภาพพจน์ที่ดีด้วย ตอนช่วยปลุกปั้น สร้างดีแทค ทุกอย่างของ คุณภู จึงต้องเนี้ยบ สั่งอะไรลูกน้องต้องจัดให้ได้ เจ้าระเบียบแบบแผนทุกเรื่อง มีไลฟ์สไตล์ที่เลือก แต่พรีเมียม เช่น สูทก็ต้องตัดจากร้านที่ผู้นำระดับโลกตัด รองเท้า เทย์เลอร์ เมด ไปดูบอล ก็ต้องเวรีวีไอพี ได้กระทบไหล่นักเตะ อย่าง เดวิด แบคแคม บ้านในกรุงเทพฯ ก็ทำโรงรถไว้จอดรถสะสมหลายสิบคัน บ้านล็อกโฮมที่มวกเหล็ก ใหญ่ที่สุดในสมัยนั้น นำเข้าทั้งหลัง มีสนามยิงปืนที่สะสมไว้หลายร้อยกระบอก มีบ้านหมู่เรือนไทยติดแม่น้ำที่ฉะเชิงเทรา และแมนชันใกล้ลอนดอน ซึ่งรับรองบุคคลสำคัญมากมายและเพื่อสั่งได้ตามใจ จึงให้เลขาฯเปิดร้านอาหารไทย กลางลอนดอน จะเปิดปิดกี่โมงก็ได้ ไม่ต้องจอง--ตอนนั้น คนที่เคยเจอ คุณภู จึงมีทั้งชื่นชมในวิสัยทัศน์ ความสำเร็จ และหมั่นไส้ กับ มาด ที่สมัยนั้นบอกว่า “มาดเหลือแดก” หรือสมัยนี้คือ “เยอะ” แต่วันนี้ คุณภู กลายเป็นคนใหม่ ที่ต่างเกือบสุดโต่ง แมนชันก็ขายไปนานแล้ว ไปซื้อทาวน์เฮาส์ใกล้เคมบริดจ์ เพราะสะดวกกับเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา นศ.ปริญญาโท ซึ่งเป็นงานที่ใจรักและไม่เคยทิ้ง เดินทางด้วย Tube ไม่มีโชเฟอร์ฝรั่งในเครื่องแบบ ขับโรลส์รอยซ์ให้นั่งโก้อีก ไปเมืองอื่น ก็ใช้เลกซัสและขับเอง (แต่ได้ใบสั่งทุกครั้ง เพราะไม่เคยดูป้ายจำกัดความเร็ว) ร้านอาหารไทย fine dining ในลอนดอนก็เลิก เหลือแต่สาขาติดบ้านชานเมืองลอนดอน ไว้กินบ้าง ขายบ้าง เพราะไม่ชอบไปกินหรูหรานอกบ้านอีก อยู่เมืองไทย ก็ขับรถไฟฟ้า good cat คันเล็กๆแบรนด์เนมเลิกใส่เลิกซื้อ สูท เนกไท รองเท้า เข็มขัดก็ยกให้เพื่อนๆแล้วใส่แต่เสื้อยืด เสื้อเชิ้ต กางเกงวอร์ม ใส่หมวก สะพายแบ็กแพ็ก ที่ยังลงทุนคือรองเท้าผ้าใบ เพราะต้องเดินมาก โดยเฉพาะขึ้นลงบีทีเอส กีฬาก็เหลือแต่ตีกอล์ฟจะได้เดิน ปืนก็แจกไปเกือบหมด นาฬิกาแพงๆก็ถอดวาง ใช้สมาร์ทวอตช์ จึงตามมาด้วยคำถาม ว่าอะไรคือ จุดเปลี่ยน ซึ่ง คุณภู ตอบสั้นๆว่า ที่สำคัญคือ แม่ ตอน คุณภู เวียนวนอยู่กับงาน โดยคิดว่าความสำเร็จชื่อเสียง คือตัวความสุข พอแม่เริ่มป่วยมะเร็ง คุณภู ซึ่งรักแม่มาก จึงปรึกษาหมอทั่วโลก ทำทุกอย่าง ทั้งรักษาทางกายและใจ ทุกเช้า คุณภู จะนิมนต์พระมาที่บ้านเชียงใหม่ ให้แม่ได้ตักบาตรจากบนเตียง ได้ฟังเทศน์ ซึ่งทำให้ คุณภู ได้ฟังไปด้วย จนเริ่มสนใจธรรมะ และความที่ชอบค้นคว้า ชอบอ่านหนังสือ ก็ขยับเป็นขั้นปฏิบัติ เพราะอยากรู้ตามประสานักวิชาการ จึงไปเป็นลูกศิษย์พระนอนวัดตามป่าตามเขา กินง่ายอยู่ง่าย เช้ามืดก็ตามหลวงพ่อออกบิณฑบาต และสนทนาธรรม--จนในที่สุด ก็เกิดจุดเปลี่ยน เข้าใจเห็นสัจธรรม จึงได้คิด จนปล่อยวางได้หลายอย่าง แม้ไม่หมด ก็พบว่า ชีวิตเบาสบายมากขึ้น--ทุกวันนี้ คุณภู จึงบินไปมาเมืองไทย อังกฤษ เยอรมนี เบลเยียม ฝรั่งเศส ทำงานที่อยากทำเท่านั้น เช่น สอนหนังสือ ทำเรื่อง food science กับเพื่อนเชฟระดับโลก Heston เวลาอยู่เมืองไทยก็ชอบไปอยู่บางคล้า แต่ไม่ไปอยู่เรือนไทยที่สวยโก้มาก จะนอนที่บ้านน็อกดาวน์สร้างง่ายๆ ริมน้ำ เตียง ตู้ไม่มี เพราะบ้านเล็ก เวลานอนลูกน้องก็ปูเบาะขนาดเท่าตัวให้ที่พื้น ตื่นก็เก็บ เสื้อมีไม่กี่ตัวก็แขวนในห้องน้ำ และที่ทำต่อเนื่องจากตอนแม่ป่วย ซึ่ง คุณภู หาหนทางรักษา และให้ทุนวิจัยกับอาจารย์ มช.ไปกว่ายี่สิบล้าน ตั้งแต่ พ.ศ.2545 จนได้อาหารเสริมที่เหมาะกับแม่ โดยใช้ โปรไบโอติก เสริมสร้างภูมิต้านทานในร่างกายให้แข็งแรง ให้แบคทีเรียที่ดี สู้กับแบคทีเรียไม่ดี ทำให้คนป่วยมะเร็งขั้นแรกๆ ทั้งหายและมีชีวิตที่ยืนยาวกว่าที่คาด รวมทั้งแม่ คุณภู ซึ่งก่อนแม่จากไป คุณภู ซึ่งบอกกับแม่ว่า จะไม่นำยาไปเป็นธุรกิจ ได้ยกงานวิจัยให้อาจารย์ไปพัฒนาต่อ เพื่ออุทิศให้แม่ ซึ่งถ้าใครเชื่อหลักการรักษาแนวนี้ คุณภู ซึ่งเป็นทั้ง Prof.Pooh สอนหนังสือ เชฟ Pooh และ หลวงพี่ภู ที่พูดธรรมะได้ลึกก (จนบางครั้งคนฟังตามไม่ทัน) ก็จะเป็น หมอภู บรรยายถึงงานวิจัย ที่ได้ช่วยเหลือผู้ป่วยมาแล้วมากมาย.โสมชบา