หลังจากกองทัพรัสเซียประสบความสำเร็จในการยึดเมืองป้อมปราการ “บาคห์มุท” ในจังหวัดโดเนตสก์ ยูเครนตะวันออก แนวรบก็ได้กลับมาสงบนิ่งอีกครั้งนำไปสู่คำถามลำดับต่อไปว่า ปฏิบัติการตีโต้ครั้งใหญ่ของยูเครนจะเริ่มขึ้นเมื่อใด เพราะทีแรกบอกไว้ว่าจะเริ่มขึ้นในฤดูใบไม้ผลิ แต่บัดนี้เวลาก็ล่วงเลยมาจนจะเข้าสู่ฤดูร้อนกันแล้วอย่างไรก็ตาม สำหรับทหารในแนวหน้าก็เป็นเพียงอีกหนึ่งวันที่ผ่านพ้นไป ในสงครามที่ดูเหมือนจะไร้จุดจบ ซึ่งนิตยสารเดอะนิวยอร์เกอร์ บรรยายเรื่องราวไว้อย่างน่าสนใจ หลังส่งทีมงานไปฝังตัวอยู่กับกองพันทหารราบที่ 28 ของยูเครน ที่ตั้งมั่นอยู่ในบริเวณชานเมืองบาคห์มุท และผู้เขียนขอนำเรื่องราวมาเล่าสู่กันฟัง ณ ที่นี้คำว่าทหารราบ (Infantry) บังเกิดขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 มาจากคำว่า “เด็กอ่อน” (Infant) และใช้เรียกไพร่พลของกองทัพที่ต้องเข้าพลีชีพอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ กองพันที่ 28 ก็เป็นเช่นนั้น ผ่านการรบอย่างดุเดือดกับกองทัพรัสเซียในจังหวัดเคียร์ซอน ภาคใต้ของยูเครน นานกว่า 6 เดือน ก่อนจะโยกย้ายมาประจำที่แนวรบตะวันออกกองพันที่ 28 มีทหารเหลืออยู่ราว 600 นาย ทำหน้าที่ปกป้องหมู่บ้านแห่งหนึ่งทางทิศใต้ของเมืองบาคห์มุทและต่อสู้กับหน่วยทหารรับจ้าง “วากเนอร์” ของรัสเซียมาตั้งแต่เดือน พ.ย.2565 มีผู้บัญชาการยศพันโท นามว่าพาบโล วัย 39 ปี แต่บรรดาลูกน้องจะเรียกขานกันในวิทยุว่า “แครงกี้” หรือขี้เหวี่ยง โดยเจ้าตัวได้ยอมรับกับทีมข่าวว่า พวกวากเนอร์เหมือนกับซอมบี้ ฆ่าไปเท่าไรก็ยังรุกเข้ามาเรื่อยๆ ภายในไม่กี่สัปดาห์ ไม่รู้กี่หมวดต่อกี่หมวดที่ต้องละลายหายไป เหตุการณ์เลวร้ายครั้งนี้คือทหารกว่า 70 นาย ถูกตีโอบและปิดล้อมสังหาร จนในเดือน ม.ค. เราจำเป็นต้องถอนกำลังมาตั้งมั่นอยู่ในแนวต้นไม้ ห่างจากหมู่บ้านราว 2 กิโลเมตร คั่นกลางด้วยทุ่งนาและดงดอกทานตะวันปัจจุบันแนวรบนั้นยังไม่เปลี่ยนแปลง วากเนอร์ได้ถอนตัวไป โอนที่มั่นให้หน่วยรบรัสเซีย ทำให้ความบ้าคลั่งในการรบลดลง แต่สมาชิกในหน่วยตอนนี้กว่า 80% เป็นทหารเกณฑ์ ที่พาบโลบอกว่าคือพลเรือนที่ขาดประสบการณ์ “หากผมได้ใหม่มา 10 นาย พอจะรบเป็นบ้าง 3 นายก็ถือว่าโชคดีแล้ว”ที่มั่นของกองพันที่ 28 เป็นหลุมเพลาะที่คดเคี้ยวไปตามแนวไม้ แบ่งเป็นส่วนหลังสำหรับหน่วยบัญชาการและอาวุธสนับสนุน กับส่วนหน้าที่ตั้งมั่นประจันกับข้าศึกเรียกว่า “ซีโร่-ไลน์” ในหลุมเพลาะส่วนหลังทีมงานได้คุยกับทหารผ่านศึก 2 นายสุดท้ายที่อยู่กับ หน่วยมาตั้งแต่สมรภูมิเคียร์ซอน คนหนึ่งชื่อรหัสกระทิง ไบสัน เป็นคนรูปร่างกำยำสมฉายา ได้รับ บาดเจ็บมาแล้ว 3 ครั้ง ถูกยิงเข้าไหล่ 1 ครั้ง โดนสะเก็ดระเบิดจนตัวพรุน 2 ครั้ง อีกคนชื่อ โอเดซา รูปร่างเตี้ยตัน เข้ารับใช้กองทัพมาตั้งแต่ปี 2558 หลังลาออกจากมหาวิทยาลัย “ผมเชื่อใจแค่ไบสัน” โอเดซากล่าวกับทีมงาน เพราะเพื่อนร่วมรบตั้งแต่สมรภูมิเคียร์ซอนได้หายไปหมดแล้ว โอเดซาหยิบโทรศัพท์มือถือเปิดสไลด์รูปให้ทีมงานดู “ตาย...ตาย...ตาย...ตาย ...ตาย...บาดเจ็บ นี่ผมก็พยายามคุ้นชินกับพวกหน้าใหม่อยู่ แต่เหมือนต้องเริ่มกันใหม่เรื่อยๆ” สำหรับเรื่องราวของโอเดซานั้นมีคนในหน่วยเล่าให้ฟังว่าเคยถึงจุดที่จิตใจพังและหนีทัพไปอยู่บ้าน 2 เดือน แต่หน่วยเหนือก็ลงโทษไม่ได้ เนื่องด้วยมากประสบการณ์เช้าวันหนึ่งทีมงานได้ลัดเลาะหลุมเพลาะไปยังแนวประจันหน้า ซีโร่-ไลน์ ที่นั่นเราได้เจอกับ อาร์โทม นั่งส่องกล้องเพอริสโคปตรวจดูความเคลื่อนไหวของทหารรัสเซียที่ขอบทุ่งทานตะวัน ซึ่งห่างไปเพียงแค่ไม่กี่ร้อยเมตร อาร์โทม วัย 42 ปี บอกกับเราว่า แต่เดิมเป็นชาวนา มีลูก 3 คน เคยประสบอุบัติเหตุทางศีรษะอย่างรุนแรง ซึ่งควรจะได้รับยกเว้นจากการเกณฑ์ทหาร แต่สุดท้ายก็ถูกเรียกไปฝึก 1 เดือน ก่อนถูกส่งมายังแนวหน้า “ผมไม่ควรมาอยู่ที่นี่ ผมไม่ใช่ทหารตอนมาช่วงสัปดาห์แรกๆ กลัวอย่างที่ไม่เคยกลัวมาก่อน ได้ยินเสียงปืนผมก็วิ่งหนีแล้ว แต่สุดท้ายก็รับรู้ว่าจะหนีไปไหนได้ ตอนนี้ผ่านไป 6 สัปดาห์ผมไม่วิ่งแล้ว ตอนนี้หวังแค่จะมีชีวิตรอดกลับบ้าน”ในขณะที่กำลังพูดคุยกันนั้น เสียงจรวดอาร์พีจีก็ดังลั่นข้ามทุ่ง ตามด้วยห่ากระสุนปืนกลที่ยิงถล่มเข้ามายังที่มั่นของยูเครน ซึ่งสักพักก็มีทหารยศจ่านามว่า ทุนดา ตะโกนออกคำสั่งเสียงดังลั่นแก่บรรดาทหารเกณฑ์ “เข้าประจำที่ ไม่ใช่ทางนั้นโว้ย มาทางนี้ ยิงอาร์พีจีและปืนกลหนักกลับคืนไป” ทุนดาเป็นหนึ่งในทหารผ่านศึกของหน่วย ไว้หนวดเครายาว สวมหมวกนายพราน ไม่สวมเกราะกันกระสุน ยามว่างครั้งหนึ่งเคยถามว่าทำไมไม่สวมเกราะ เจ้าตัวให้คำตอบว่า “ถ้าจะตาย มันก็ตายอยู่ดี”หลังจากเสียงปืนเริ่มแผ่วลง สิ่งหนึ่งที่สร้างความอกสั่นขวัญแขวนแก่เหล่าทหารเกณฑ์มากที่สุดคือเสียงโดรนขนาดเล็กที่รัสเซียส่งเข้ามาตรวจการณ์ ทหารไม่ทราบชื่อรายหนึ่งที่นั่งขดอยู่ในหลุมเพลาะถามขึ้นมาด้วยเสียงอันตกใจ “มันติดระเบิดมาด้วยไหม” ซึ่งทุนดาตอบด้วยความหงุดหงิดว่า “ก็จะรู้ไหมล่ะ” ก่อนหยิบปืนอาก้าสาดกระสุนเข้าใส่และทำให้โดรนบินล่าถอยไปไม่ไกลจากจุดซีโร่-ไลน์ กองพันที่ 28 ได้สร้างที่มั่นทำจากขอนไม้และอุปกรณ์อำพรางป้องกันการตรวจจับจากโดรน โดยเป็นจุดประจำการของหน่วยต่อต้านรถถัง มีอาวุธหลักคือ ปืนไร้แรงสะท้อนยุคโซเวียต SPG9 ขนาด 73 มม. ซึ่งเป็นเรื่องน่าตกใจว่ายังใช้งานได้อยู่ เนื่องด้วยไกยิงได้พังไปแล้ว ทีมประจำปืนดูแลอยู่ 2 นาย นามว่า คาบัน กับ คาเด็ท ได้อธิบายว่า ก่อนจะยิงเราใช้วิธีต่อสายไฟตรงเตรียมไว้ เข็นออกไปยิงและเข็นกลับมาคาบัน ไม่ได้เปิดเผยกับทีมงานว่าอายุเท่าไร แต่เล่าว่าส่งลูกชายลี้ภัยไปอยู่เยอรมนี ขณะที่ คาเด็ท มีอายุเพียง 19 ปี เข้าร่วมกับกองทัพในวันเกิดอายุ 18 ปี ซึ่งเกิดขึ้น 4 วัน ก่อนรัสเซียส่งกองทัพบุกยูเครน กิจวัตรประจำวันของคาเด็ท คือหลังเสร็จภารกิจที่ได้รับมอบหมายก็จะนอนเล่นเกมโทรศัพท์มือถือ หรือไม่ก็คุยกับแฟนที่เจอกันในติ๊กต่อกแต่ยังไม่เคยเจอตัวจริง “ผมหวังว่าสงครามจะจบฤดูร้อนนี้ เธอจะได้กลับมาจากเยอรมนีเสียที”หลายต่อหลายครั้งที่คาบันอธิบายความสัมพันธ์กับคาเด็ทว่า “เหมือนลูก” แต่ดูแล้วก็ไม่รู้ว่ารักหรือเกลียดมากกว่าที่คาเด็ทไม่ยอมลี้ภัยไปอยู่ต่างแดนเหมือนลูกแท้ๆของตัวเองคาบันเคยถีบใส่คาเด็ทหลังเผลอเรอเปิดไฟฉายตอนตีสอง ซึ่งคาเด็ทตอบด้วยเสียงอ่อยเหมือนเด็กถูกลงโทษว่าผมลืมครับ แต่ระหว่างที่ช่างภาพของเรากำลังสนทนาออกรสออกชาติกับคาบันเรื่องประสบการณ์จีบสาวก็ได้ถามไปว่าแล้วคิดจะถ่ายทอดกลเม็ดอะไรให้ หรือถ่ายทอดประสบการณ์ชีวิตให้คาเด็ทบ้างไหม คาบันกล่าวว่า “ไม่มีประโยชน์หรอก เดี๋ยวมันก็ตายแล้ว” ทำให้คาเด็ทหัวเราะขำขึ้นมา แต่คาบันก็ไม่ได้หัวเราะตามไปด้วยในช่วงเวลาที่ทีมงานได้คลุกคลีอยู่กับทั้งสอง เสียงเมสเสจมือถือก็ดังขึ้น หน่วยเหนือมีคำสั่งว่า ตรวจพบความเคลื่อนไหวของรถกวาดกับระเบิด เป็นไปได้ที่รัสเซียกำลังเตรียมบุก จำเป็นต้องใช้ปืนไร้แรงสะท้อนยิงถล่มที่มั่นของรัสเซียทุกๆ 1 ชั่วโมงจนถึงรุ่งเช้า...ทั้งคาบันและคาเด็ทต่างอมยิ้มและพูดว่า “ลุยกันเถอะ” ก่อนเคลื่อนตัวออกไปสู่ความมืดมิดของค่ำคืนที่ไร้แสงจันทร์...วันนี้เนื้อที่หมดแล้ว ไว้สัปดาห์หน้าหากไม่มีประเด็นข่าวสำคัญก็จะกลับมาเล่าให้ฟังกันต่อนะครับผม.วีรพจน์ อินทรพันธ์