การท่องเที่ยวรูปแบบโฮมสเตย์กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่นักท่องเที่ยวคนไทยและชาวต่างชาติ โดยเฉพาะ “บ้านนาต้นจั่น อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย” ที่มีชื่อเสียงติดอันดับท็อปเทนอาเซียนสามารถสร้างรายได้หมุนเวียนให้คนในชุมชนมากกว่า 40 ล้านบาท/ปีเบื้องหลังความสำเร็จนี้มาจาก “การถอดบทเรียนด้านงานวิจัยเป็นกลไกวางยุทธศาสตร์ 20 ปี” เพื่อให้ชุมชนบริหารจัดการแบบมืออาชีพจนเป็น 1 ใน 2 หมู่บ้านโฮมสเตย์ในไทยที่ได้รับรางวัล PATA Gold Awards 2012 ประเภทการอนุรักษ์ภูมิปัญญาจากสมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในปี 2555กระทั่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวโฮมสเตย์ต้นแบบให้ศึกษาดูงานการบริหารจัดการชุมชนนี้ รศ.ดร.วศิน ปัญญาวุธตระกูล หน.วิจัยรูปแบบการจัดการท่องเที่ยวด้านประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่นเชิงสร้างสรรค์ของธุรกิจชุมชนในเส้นทางเมืองมรดกโลกสุโขทัย เชื่อมโยงกำแพงเพชร พิษณุโลก และเพชรบูรณ์ เล่าว่า รศ.ดร.วศิน ปัญญาวุธตระกูลถ้าย้อนดูก่อนปี 2547 “เส้นทางประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมมรดกโลกในภาคเหนือตอนล่าง” อันมีความสำคัญให้ “นักท่องเที่ยวคนไทย และคนต่างชาติ” ต่างสนใจแวะเวียนกันเข้ามาเที่ยวชมไม่ขาดสายแต่ว่า “ไม่มีระบบการจัดการท่องเที่ยวชุมชน” ทำให้มีแนวคิดกระบวนการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมร่วมกับ “บ้านนาต้นจั่น” อันเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาทำวิจัยครั้งแรกในปี 2547เริ่มกระบวนการจาก “ภายในชุมชน” ปลุกคนในหมู่บ้านให้เชื่อมั่นเห็นของดีของตัวเองจากต้นทุนเดิมที่มีอยู่คือ “ภูมิปัญญาคนท้องถิ่น” ในการดำรงชีพนำมาสร้างสรรค์เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์ของชุมชนอย่างเช่น “ข้าวเปิ๊บ” เป็นอาหารทดแทนก๋วยเตี๋ยวหาทานได้ยาก “ผ้าหมักโคลน” เป็นสินค้าขึ้นชื่อมีความนุ่มเป็นพิเศษ ทั้งยังมี “วัฒนธรรมพื้นถิ่นดั้งเดิมสืบสานในพื้นที่” อย่างการแต่งกายผ้าซิ่น หรือพิธีผูกขวัญต้อนรับผู้มาเยือนแล้วบวกกับ “ทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์” ด้วยลักษณะความเป็นป่าเขาของพื้นที่มองเห็นทัศนียภาพด้านล่างกว้างไกลชมทะเลหมอกเกือบตลอดปี สิ่งนี้ล้วนนำมาทำเป็นแผนยุทธศาสตร์พัฒนาการท่องเที่ยวชุมชน 20 ปีต่อมาก็สร้างเครือข่ายพันธมิตร “หาผู้สนับสนุน” ทั้งด้านวิชาการเข้ามาฝึกอบรมการบัญชี การตลาด การประชาสัมพันธ์ และฝึกอบรมไกด์เที่ยว รวมถึงการหาเงินทุนจากภาครัฐ และเอกชน ที่ใช้เวลาเตรียมพร้อมกว่า 1 ปี กลายเป็นชุมชนที่พึ่งพาตัวเองได้นำมาสู่ “การศึกษาพฤติกรรมภายนอก” สำรวจความต้องการของนักท่องเที่ยว เพื่อเป็นข้อมูลสู่ “การพัฒนาทางการตลาด” ที่จะทำให้ชุมชนสามารถนำเสนอสินค้า หรือบริการได้ตรงตามความต้องการของนักท่องเที่ยวนั้นก่อนมา “ทำการตลาด” แต่ด้วยบ้านนาต้นจั่นเป็นที่พักเปิดใหม่ห่างจากถนนสายหลัก 30 กม. “ต้องทำควบคู่สร้างการรับรู้ผ่านสื่อหลัก” สมัยนั้นใช้โทรศัพท์ส่งข้อความไปช่องทีวีต่างๆเพื่อให้มีตัวหนังสือวิ่งด้านล่างรายการทุกวัน เช่น บ้านนาต้นจั่นหนาวมากน่าเที่ยวจัง หรือพระอาทิตย์ยามเช้าบ้านนาต้นจั่นสวยมาก “เป็นกลไกสร้างการรับรู้ง่ายๆ ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย” แต่กลับเกิดการรับรู้อย่างแพร่หลายจนถูกยกระดับเป็นสถานที่เก็บตัวทำกิจกรรมผู้ผ่านเข้ารอบสุดท้ายการประกวดนางสาวไทยปี 2551 สิ่งนี้ล้วนมาจาก “แผนแม่บทบริหารจัดการในชุมชน” ถูกถอดบทเรียนออกมาในงานวิจัยเพื่อให้เกิดกระบวนการรับรู้สร้างความเข้มแข็งของชุมชนจนสามารถพึ่งพาตัวเองได้ในที่สุดทว่าสถานการณ์กลับไม่ราบรื่นอย่างที่คิดเมื่อปี 2551 “ดินโคลนบนเขาถล่มทับบ้านนาต้นจั่น” ทำให้บ้านเรือนได้รับความเสียหายเกือบทั้งหมู่บ้าน “ต้องมีการปรับปรุงสาธารณูปโภคใหม่ทั้งหมด” แล้วนำมาสู่กระบวนการพัฒนาการท่องเที่ยวชุนชนเฟส 2 เน้นการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมในชุมชน ตลอดจนความสมดุลในระหว่าง “นักท่องเที่ยวกับวิถีชีวิตของคนในหมู่บ้าน” เริ่มด้วยมีการพัฒนาผ้าหมักโคลนระหว่างดินและผ้า อันเป็นภูมิปัญญาสืบทอดต่อกันมานั้นก่อนนำมาผสมผสานการทดลองทางวิทยาศาสตร์ “ด้วยการนำผ้ามาหมักโคลนร้อน และหมักโคลนเย็น” เพื่อเปลี่ยนระบบเส้นใยผ้าให้นิ่มมากยิ่งขึ้นกลายเป็นนวัตกรรมใหม่ “เปลี่ยนสภาพผ้าฟูนิ่มใส่สบาย” ตอบโจทย์เป็นผลิตภัณฑ์ชุมชน “รองรับกับนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยตรง” อันเป็นจุดขายโด่งดังคู่กับการท่องเที่ยวชุมชนที่ใช้จุดเด่น “ด้านอาหารพื้นบ้านสูตรโบราณ” เมนูตามวัตถุดิบแต่ละฤดูกาลนั้นในราคาที่พักรวมอาหารเช้า-เย็น 700 บาท/หัวปัญหาว่า “การท่องเที่ยวชุมชนโด่งดังขึ้น” นักท่องเที่ยวต่างหลั่งไหลเข้ามาใช้บริการมากมาย “ก่อให้เกิดกระบวนการลักลอบตัดไม้ทำลายป่า” เพื่อปรับพื้นที่เป็นสถานที่รองรับการท่องเที่ยวใกล้ชิดกับธรรมชาติ ทำให้ต้องมีกระบวนการสร้างความเข้าใจในการจัดการป่าไม้ชุมชนให้เป็นป่าการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนด้วยการพัฒนาป่าชุมชนนั้นให้เกิดรายได้อย่าง “จุดชมวิวห้วยต้นไฮ” ถูกนำมาผนวกทำเป็นเส้นทางวิถีท่องเที่ยวชุมชนใหม่ “ชมหมอกชมพระอาทิตย์ขึ้น–พระอาทิตย์ตก” ทำให้ชาวบ้านหวงแหนป่าชุมชนมากยิ่งขึ้น กระทั่งถูกพัฒนากลายเป็น “เขตเศรษฐกิจการท่องเที่ยวชุมชน” มุ่งเน้นใช้บุคลากรในหมู่บ้านด้วยการแบ่งภาระหน้าที่รับผิดชอบในกิจกรรมต่างๆ เช่น กลุ่มแม่บ้านรับผิดชอบด้านอาหาร และดูแลนักท่องเที่ยว กลุ่มพ่อบ้านรับผิดชอบกิจกรรมการท่องเที่ยว และมัคคุเทศก์ กลุ่มผู้สูงอายุดูแลกิจกรรมทางความเชื่อ และวัฒนธรรมตลอดจนกลุ่มเยาวชนรับผิดชอบการเป็นมัคคุเทศก์น้อย แสดงวัฒนธรรมให้กับนักท่องเที่ยว เพื่อให้เกิดการสร้างรายได้ให้แก่ในชุมชนแล้วส่วนหนึ่งต้องเข้า “กองทุนหมู่บ้าน” สำหรับใช้ปรับปรุงภูมิทัศน์โดยรอบชุมชน เพราะเราเป็นการท่องเที่ยวโฮมสเตย์เน้นขายวิถีชีวิต วัฒนธรรม และธรรมชาติ ทำให้หมู่บ้านต้องสวยงามอยู่เสมอตอกย้ำ “ปัญหานายทุน” เข้ามาทำธุรกิจการท่องเที่ยวในชุมชน เช่น มีบริษัทผลิตรถยนต์แห่งหนึ่งเข้ามาเสนอร่วมทุนกับชุมชน เพื่อนำรถกอล์ฟมาอำนวยความสะดวกการท่องเที่ยว “คิด 100 บาท/หัว” ชาวบ้านได้ส่วนแบ่ง 10 บาท/หัว แต่ถูกปฏิเสธ ก่อนไป “กว้านซื้อที่ดินทางเข้าออกหมู่บ้าน” ทำธุรกิจรีสอร์ตแข่งกับโฮมสเตย์ชุมชนแม้แต่ไม่นานนี้ “นายทุนใหม่กว้านซื้อที่บนเขาใกล้หมู่บ้าน” แล้วตัดป่าชุมชนปรับเป็นสวนยางพารา ทำให้ชาวบ้านรวมตัวกันสร้างกระแสดราม่าในโซเชียลฯ “หน่วยงานจังหวัด” ต้องออกมาแก้ไขความขัดแย้งนี้ หนำซ้ำ “หน่วยงานสินเชื่อก็เข้าเสนอปล่อยเงินกู้” เพื่อปรับโฮมสเตย์เป็นรีสอร์ตเปิดธุรกิจแบบรับตรง “ไม่ต้องผ่านกลไกหมู่บ้าน” สิ่งนี้เป็นปัจจัยภายนอกรุกคืบเข้ามาสร้างปัญหาในหมู่บ้านตลอด “อย่าลืมเมื่อใดมีการกู้เงินมาลงทุนจะมองเป็นธุรกิจ” มักมาพร้อมกับการแข่งขันชิงผลประโยชน์เกิดความขัดแย้งในชุมชนทันทีประเด็นนี้ “การพัฒนาผู้นำรุ่นใหม่สืบทอดเจตนารมณ์ย่อมมีความสำคัญ” แต่ด้วยที่นี่มีข้อดีคือ การสร้างโอกาสให้เกิดผู้นำรุ่นใหม่ และกลุ่มผู้สูงอายุได้ทำกิจกรรมร่วมกัน “จนลูกหลานมีสำนึกหวงแหนรักบ้านเกิด” แล้วมักนำความรู้กลับมาพัฒนาสรรค์สร้างต่อให้ดำรงอยู่ตามรุ่นลูกรุ่นหลานโดยปรับเปลี่ยนไปตามกาลเวลาสังเกตได้จากในช่วง “โควิด–19 ระบาด” แทบไม่มีนักท่องเที่ยวเลยหลายเดือน “คนในชุมชนแต่ละรุ่น” พยายามทำกิจกรรมในชุมชน “ถ่ายทอดผ่านสื่อออนไลน์” เพื่อให้มีความเคลื่อนไหวกระตุ้นการท่องเที่ยว “หลังโควิด–19 คลี่คลาย” ก็ทำให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาอย่างไม่ขาดสายด้วยซ้ำฉะนั้นเมื่อวันนี้ชุมชนมีความเข้มแข็งสามารถบริหารจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชนได้แล้ว ก็ถึงเวลานักวิจัยการท่องเที่ยวชุมชนต้องถอนตัวออกมาเพราะมิเช่นนั้นจะกลายเป็นความสัมพันธ์ส่วนตัวต่อการร่วมลงทุนนำสู่การแข่งขันขัดผลประโยชน์กระทบการพัฒนาการท่องเที่ยวโฮมสเตย์ไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่เกิดขึ้นอยู่มากมายนี่คือเบื้องหลังความสำเร็จ “โฮมสเตย์บ้านนาต้นจั่นติดท็อปเทนระดับอาเซียน” เพราะด้วยความเชื่อมั่นยืนหยัดพลังของชุมชนจาก “ความรักหวงแหนภูมิปัญญา และวัฒนธรรมตัวเอง” กลายเป็นความเข้มแข็งร่วมกันผลักดันให้เป็นหมู่บ้านอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอย่างสมบูรณ์แบบจนถึงวันนี้.