เมืองสุพรรณฯ ในสมัยรัชกาลที่ 5 มีความเชื่อกันว่า ห้ามเจ้า (นาย) เสด็จ จนเมื่อสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเสด็จไปถึง ทรงสืบสาวจึงได้ความ ต้นเหตุความเชื่อห้ามเจ้า เพราะเจ้าเมืองกดขี่ข่มเหงราษฎรไว้มากความเชื่อแนวเดียวกัน เมืองเพชรบูรณ์มีไข้ป่าชุกชุมนัก คนต่างถิ่นที่จำเป็นไปมักต้องตายในหนังสือ “นิทานมิบ” (สำนักพิมพ์พิมพ์คำ พิมพ์ครั้งที่ 2 พ.ศ.2557) เรื่อง ชักคนไปเมืองเพชรบูรณ์ เอนก นาวิกมูล เกริ่นนำเรื่องว่า ครั้งหนึ่งในสมัยรัชกาลที่ 5 ตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์เกิดว่างลงสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ทรงเที่ยวหาคนไปปกครองอยู่พักใหญ่ ก็ยังไม่เป็นที่พอพระทัยจนเมื่อทรงพบ นายเฟื่อง บรรดาศักดิ์ พระสงครามภักดี คนคนนี้เคยอาสาไปทัพผ่านไข้ผ่านป่ามาโชกโชน สู้กับไข้ป่ามาจนอยู่ตัว ถึงขนาดผิวเป็นสีเหลืองผิดกับคนสามัญพอทรงลองคุย ก็รู้ว่าเป็นคนมีสติปัญญา ทรงไว้วางใจ แต่งตั้งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ เมื่อปี 2442นายเฟื่องทำงานดีจนได้เลื่อนเป็นสมุหเทศาภิบาลมณฑลเพชรบูรณ์ เป็นที่ยอมรับในหมู่ข้าราชการและผู้ใหญ่ จนแม้พระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ยังมีพระเมตตา มีพระราชดำรัสถามเรื่องราชการอยู่เนืองๆระหว่างเป็นสมุหเทศาภิบาลฯ พระสงครามภักดีปรารภกับสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯว่า การปกครองมณฑลเพชรบูรณ์นั้น ไม่สู้ยากนัก เพราะราษฎรที่เกิดแถบนี้ชอบทำมาหากิน ไม่ใคร่มีใครเป็นโจรผู้ร้ายปัญหาของพระสงครามภักดี คือหาคนเก่งคนดีใช้การได้ไม่เพียงพอคนพื้นเมืองยังอ่อนการศึกษา คนจากที่อื่นกลัวไข้ป่า ก็ไม่มีใครกล้าไปอยู่สมเด็จฯกรมพระยาดำรงฯ ทรงคิดหาอุบายที่จะระงับความกลัวให้ได้ ในที่สุดทรงตกลงใจ จะต้องเสด็จฯไปให้ถึงเมืองเพชรบูรณ์ ให้เป็นที่ปรากฏเสียสักครั้งหนึ่งเมื่อทรงปรารภ “แม้ตัวฉันก็ได้ไปแล้ว ไม่เห็นเป็นอะไร คนอื่นๆ ได้ฟัง ก็อาจหายกลัวได้ ถึงจะมีคนกลัวก็ยังอาจชักชวนได้ง่ายขึ้น”พระสงครามภักดี ดีใจ กราบทูลวิธีการเดินทาง แล้วเตรียมการต่างๆรอไว้น่าเสียดาย กว่าสมเด็จฯกรมพระยาดำรงฯ จะหาโอกาสเสด็จได้ ก็ต้องเลื่อนกำหนดไปถึง 2 ปี พระสงครามภักดี ก็ถึงแก่อนิจจังไปเสียก่อนพระสงครามภักดี ไม่ตายด้วยไข้ป่าเพชรบูรณ์ตายด้วยอหิวาตกโรค ขณะลงมาเข้าเฝ้าในกรุงเทพฯเมื่อสมเด็จฯกรมพระยาดำรงฯ จะออกเดินทาง มีผู้มาห้ามปรามมากมาย แต่ในหลวงรัชกาลที่ 5 หาได้ทรงห้ามแต่อย่างใดไม่ ตรัสให้กำลังใจว่า “ไปเถิดอย่ากลัวเลย สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯของเรา ท่านก็เสด็จไปแล้ว”ครั้งนั้น ทรงเล่าว่า ต้องทรงข้ามป่า ข้ามเขา ลงเรือ เดินบกไปตามเมืองต่างๆ ทรงปลอบใจชาวบ้านลูกหาบให้มีความกล้า ไม่กลัวไข้ รวมเวลาเสด็จเพชรบูรณ์ 36 วัน ไม่มีใครเป็นไข้ป่าเลยแม้แต่ คนเดียวนับแต่นั้น ท่านก็หาคนไปรับราชการเมืองเพชรบูรณ์ได้ไม่ยาก ชาวบ้านชาวเมืองอื่นๆก็ข้ามไปทำมาหากินที่เขตเพชรบูรณ์ทวีขึ้นสมประสงค์เรื่องชักคนไปเมืองเพชรบูรณ์จบแค่นี้...หากเจ้านายทำตัวดีเป็นตัวอย่าง ไพร่ทาสบริวาร ราษฎร ก็มักเป็นคนดีตาม ตามคำพังเพยโบราณ ถ้าสมภารดี หลวงชีไม่สกปรกบางบ้านเมืองที่ฟังข่าวตอนนี้ มีแต่เรื่องเลวๆร้ายๆ แตะตรงไหน เป็นต้องเจอตรงนั้นจะโทษใครก็ไม่ได้ ต้องโทษผู้ใหญ่สถานเดียว ในสถานการณ์ ที่เหมารวมกันว่า เป็นเผด็จการ มีข้อสะกิดให้คิด...ผู้ใหญ่คนไหน คนพี่หรือคนน้อง.กิเลน ประลองเชิง