การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ ได้ก่อให้เกิดผลกระทบมากมายตามมา หนึ่งในนั้นคือ ภาวะความโดดเดี่ยว หรือที่เรียกว่า “โรคเหงา” ซึ่งกำลังระบาดไปทั่วโลกWhiddon Group ผู้ให้บริการดูแลผู้สูงอายุในออสเตรเลีย ระบุว่า เกือบ 50% ของผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ที่บ้านมีความรู้สึกเหงา เมื่อเทียบกับประชากรทั่วไปราว 10 % ขณะที่ Council on the Aging (COTA) ในรัฐวิกตอเรีย คาดการณ์ว่า จำนวนผู้ที่แยกตัวออกจากสังคมจะเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าภายในปี 2040 และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอีกเมื่อสัดส่วนของผู้สูงอายุในประชากรเพิ่มขึ้น โดยนักวิจัยระบุว่า ความรู้สึกเศร้าและความเหงาส่วนหนึ่งเกิดจากความรู้สึกโดดเดี่ยวและลดขนาดลงของเครือข่ายสังคมในกลุ่มผู้สูงอายุอาจฟังดูธรรมดา สำหรับสิ่งที่เรียกว่า “ความเหงา” แต่จริงๆแล้ว งานวิจัยมากกว่า 200 ชิ้นในโลก ยืนยันตรงกันอย่างชัดเจนว่า ความเหงาและความโดดเดี่ยวทางสังคมเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตเร็วขึ้นในผู้สูงอายุ Proceedings of the National Academy of Sciences (PNAS) ประเทศสหรัฐอเมริกา ระบุว่า การแยกตัวทางสังคมและความเหงามีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่สูงขึ้นของการเสียชีวิตในผู้ใหญ่อายุ 52 ปีขึ้นไป และจากการศึกษาของมหาวิทยาลัยชิคาโก พบว่า ความเสี่ยงด้านสุขภาพที่สำคัญเกี่ยวข้องกับความเหงา ที่เรียกว่า “ความเหงาสุดขีด” ทำให้ผู้สูงอายุมีโอกาสเสียชีวิตก่อนวัยอันควรมากขึ้นถึง 14% ซึ่งตรงกับรายงานของ English Longitudinal Study of Aging (ELSA) ที่พบว่า ผู้สูงอายุที่ถูกแยกตัวออกจากสังคมมีแนวโน้มที่จะเสียชีวิตเร็วขึ้น สุขภาพกายและสุขภาพจิตเสื่อมโทรมจากการศึกษาโดยใช้ข้อมูลจากโครงการ National Social Life, Health, and Aging Project ของสหรัฐอเมริกา ในสหราชอาณาจักร การรณรงค์เพื่อยุติความเหงา สรุปว่า การขาดความสัมพันธ์ทางสังคมเป็นปัจจัยเสี่ยงที่รุนแรงสำหรับการเสียชีวิต เช่นเดียวกับการสูบบุหรี่ โรคอ้วน หรือการขาดกิจกรรมทางกาย ในทำนองเดียวกัน ผู้สูงอายุที่โดดเดี่ยวมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นที่จะเสียชีวิตเร็วขึ้น และมีแนวโน้มที่จะประสบกับการเคลื่อนไหวที่ลดลงเมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้อยู่คนเดียวผู้สูงอายุจำนวนไม่น้อยที่พยายามสร้างสถานการณ์ว่าเจ็บป่วย เพื่อไปที่แผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาล เพียงเพื่อปฏิสัมพันธ์ทางสังคม เว็บไซต์ My Aged Care ของรัฐบาลออสเตรเลีย อ้างผลการศึกษาที่ระบุว่า ผู้ที่จัดอยู่ในประเภท “โดดเดี่ยว” มีโอกาสเข้าถึงบริการฉุกเฉินมากกว่าผู้ที่ถือว่า “ไม่โดดเดี่ยว” ถึง 60% และมีแนวโน้มที่จะเข้าสถานดูแลผู้สูงอายุในที่อยู่อาศัยมากกว่าสองเท่าในการศึกษาของ PNAS สหรัฐอเมริกา ยืนยันว่า ความเจ็บป่วยและสภาวะต่างๆ เช่น โรคปอดเรื้อรัง โรคข้ออักเสบ การเคลื่อนไหวที่บกพร่อง ความดันโลหิตสูง และภาวะซึมเศร้า มีความสัมพันธ์กับการแยกตัวทางสังคม และที่น่าสนใจมากขึ้นก็คือ ข้อมูลจาก ดร.จอห์น คาชิออปโป นักประสาทวิทยาศาสตร์และนักจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยชิคาโก ซึ่งได้ทำการศึกษาเรื่องความโดดเดี่ยวทางสังคมนานกว่า 30 ปี ที่ระบุว่า ความรู้สึกเหงานั้นเชื่อมโยงกับประสิทธิภาพการรับรู้ที่ไม่ดี การลดลงของความรู้ ความเข้าใจเร็วขึ้น และความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของภาวะสมองเสื่อมยิ่งไปกว่านั้น US National Center on Elder Abuse ยังให้ข้อมูลที่น่าตกใจว่า การแยกตัวทางสังคมส่งผลต่ออัตราการทำร้ายผู้สูงอายุที่สูงขึ้น ซึ่งแม้จะไม่มีการอธิบายสาเหตุการเพิ่มขึ้นของการทำร้ายผู้สูงอายุว่ามาจากการที่ผู้สูงอายุที่โดดเดี่ยวมีแนวโน้มที่จะตกเป็นเหยื่อของการทารุณกรรม หรือเป็นผลมาจากการที่ผู้ล่วงละเมิดพยายามแยกผู้อาวุโสออกจากคนอื่นๆ เพื่อลดความเสี่ยงในการที่จะถูกลงโทษหรือเปิดเผยให้คนอื่นรับรู้ การศึกษาจำนวนมากแสดงให้เห็นว่าความเหงาเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของภาวะซึมเศร้า โดยอาการจะเพิ่มขึ้นทั้งในวัยกลางคนและวัยสูงอายุ จากรายงานของหน่วยงานด้านสุขภาพเด็ก สตรีและผู้สูงอายุของแคนาดา พบว่า ความเหงาและความโดดเดี่ยวทางสังคมเป็นตัวทำนายหลักของผู้สูงอายุที่ต้องการการดูแลที่บ้าน เช่นเดียวกับการเข้าบ้านพักคนชรา รายงานการประชุมของ National Academy of Sciences ย้ำชัดว่า ความเหงานำไปสู่การส่งสัญญาณความเครียดแบบสู้หรือหนี ซึ่งสุดท้ายแล้วอาจส่งผลต่อการผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งเป็นเซลล์ของการต่อสู้กับเชื้อแบคทีเรียและไวรัส นั่นหมายถึง ผู้สูงอายุที่มีความเหงา มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อสูงกว่าผู้สูงอายุที่อยู่กับครอบครัวหรือยังมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับกลุ่มต่างๆปัจจุบันทั่วโลกมีผู้สูงอายุราว 1,000 ล้านคน หรือราว 10% ของประชากรทั่วโลก และ 7 ประเทศได้ก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุแล้ว โดยสิงคโปร์ และญี่ปุ่น เป็นประเทศแรกที่เข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ มีผู้อายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่า 20% ของประชากรทั้งประเทศ.