ขณะที่การเมืองเข้าสู่โหมดการ เลือกตั้งเต็มตัว พรรคการเมืองทั้งหลายจะต้องเฝ้าระวังภัยรอบด้าน อาจถูกกล่าวหาทำผิดกฎหมายร้ายแรงถึงขั้นยุบพรรค ดังกรณีตัวอย่าง น.ส.แพทองธาร “อุ๊งอิ๊ง” ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวพรรคเพื่อไทย โดยขู่ว่าจะร้องให้ยุบพรรค ในข้อหาให้คนนอกครอบงำพรรค หลังจากที่ไปพบบิดาที่ฮ่องกงในอดีตหลายทศวรรษ ดูเหมือนจะไม่มีกฎหมายให้ยุบพรรค เนื่องจากทำผิดในเรื่องหยุมหยิม เพิ่งจะมี พ.ร.ป.พรรค การเมืองที่ออกตามรัฐธรรมนูญ 2560 เป็นฉบับแรก มีบทบัญญัติให้ยุบพรรคในหลายประเด็น ประเด็นหลักๆคือมาตรา 92 ความผิดฐานล้มล้างระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือความผิดฐานกระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตย แต่ความผิดที่ชอบอ้างกันมากที่สุดมี 2 มาตรา ได้แก่ มาตรา 28 ห้ามมิให้พรรค การเมืองยินยอมให้ “คนนอก” ที่ไม่ใช่สมาชิก กระทำการอันเป็นการควบคุม หรือชี้นำกิจกรรมของพรรค จนทำให้พรรคหรือสมาชิกขาดอิสระ มีโทษถึงยุบพรรคส่วนมาตรา 29 ห้ามคนนอกครอบงำหรือชี้นำพรรค มีโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปีถึง 10 ปี และให้ตัดสิทธิในการสมัคร รับเลือกตั้งตลอดชีพ ทั้งสองมาตราถูกพรรคต่างๆนำมาเล่นงานพรรคคู่แข่งมากสุด กลายเป็นเครื่องมือทางการเมือง เพื่อกลั่นแกล้งหรือทำลายพรรคคู่แข่ง และอาจขัดต่อสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญรัฐธรรมนูญทุกฉบับที่ยึดหลักประชาธิปไตยบัญญัติไว้ตรงกันว่า บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการตั้งพรรค เพื่อสร้างเจตนารมณ์ทางการเมืองของประชาชน และเพื่อดำเนินกิจกรรมทางการเมืองให้เป็นไปตามเจตนารมณ์นั้น ข้อกล่าวหาห้ามคนนอกครอบงำ หรือ “ชี้นำ” พรรค ขัดต่อเสรีภาพหรือไม่ แค่ไหนจึงเรียกว่าเป็นการ “ชี้นำ”ถ้านักวิชาการ องค์กรภาคเอกชน หรือสื่อมวลชน วิพากษ์วิจารณ์นโยบายพรรค และเสนอแนะให้พรรคดำเนินนโยบาย เพื่อกระจายรายได้ที่เป็นธรรมหรือกระจายอำนาจสู่ประชาชน และพรรคก็ทำตาม จะถือว่าเป็นการ “ชี้นำ” หรือไม่ พรรคการเมืองเป็นเสาหลักของประชาธิปไตย จะต้องรับฟังคำชี้แนะโดยรอบด้านประเทศประชาธิปไตยที่พัฒนาแล้วส่วนใหญ่จะไม่มีการยุบพรรคกันง่ายๆ เพราะถือว่าเป็นสิทธิเสรีภาพประชาชน มีบางประเทศ เช่นเยอรมนี เคยมีข่าวยุบพรรคนาซีใหม่ เพราะยึดหลักเผด็จการแบบพรรค นาซีฮิตเลอร์ ถือว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตย ประเทศไทยก็น่าจะยึดหลักเดียวกัน ห้ามใช้ ก.ม.พรรคเป็นเครื่องมือการเมือง.