ในหลวงทรงมีพระราชสาส์นแสดงความเสียพระราชหฤทัย เหตุโศกนาฏกรรม “อิแทวอน” ขณะที่ผู้บาดเจ็บสาหัสตายเพิ่มอีกเป็นหญิงกิมจิ ทนพิษบาดแผลไม่ไหว ส่งให้ยอดตายพุ่งเป็น 156 ศพ ด้านกระทรวงบัวแก้วเผยครอบครัวสาวไทยที่เสียชีวิต มอบอำนาจให้ สอท.จัดการส่งศพกลับบ้านเกิด แต่ยังรอ ตร.ระบุวันรับศพออกจากโรงพยาบาล โดยทางการเกาหลีใต้ยินดีรับผิดชอบค่าใช้จ่าย พร้อมเงินช่วยเหลือเยียวยา ตอนนี้อยู่ระหว่างประสานงาน ขณะที่พ่อแม่ครูแบมแบมเปิดใจ ยังเศร้าหลังลูกสาวคนเดียวด่วนจาก ไร้คนดูแลยามแก่เฒ่าแล้ว หนำซ้ำต้องชดใช้หนี้แทนลูก ทั้งหนี้ กยศ.-เงินส่งไปเรียนต่อที่เกาหลีใต้ จากกรณีเหตุโศกนาฏกรรมเหยียบกันตายในตรอกสถานบันเทิงย่านอิแทวอน กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อค่ำคืนวันที่ 29 ต.ค.ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 1 พ.ย.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ส่งข้อความ พระราชสาส์นแสดงความเสียพระราชหฤทัยไปยังประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐเกาหลี กรณีเกิดเหตุการณ์โศกนาฏกรรมที่ย่านอิแทวอน กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2565 ความว่า “ฯพณฯ ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐเกาหลี กรุงโซล ข้าพเจ้าและพระราชินีมีความเศร้าสลดใจอย่างยิ่งที่ได้ทราบข่าวโศกนาฏกรรมความสูญเสียที่ย่านอิแทวอนของกรุงโซล นับเป็นโศกนาฏกรรมอันร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่ง ที่เกิดขึ้นในหลายทศวรรษที่ผ่านมา ทั้งรู้สึกตระหนกใจกับจำนวนผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ และผู้สูญหายเป็นจำนวนมาก ซึ่งมีนักท่องเที่ยวต่างชาติรวมทั้งคนไทยที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าวด้วย ในนามของประชาชน ชาวไทย ข้าพเจ้าและพระราชินีขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งมายังท่านและประชาชนสาธารณรัฐเกาหลี ต่อการสูญเสียและทุกข์โศกจากเหตุการณ์ร้ายแรงครั้งนี้” (พระปรมาภิไธย) มหาวชิราลงกรณ พระ วชิรเกล้าเจ้าอยู่หัววันเดียวกัน สำนักข่าวยอนฮับ เกาหลีใต้ รายงานโดยอ้างข้อมูลจากศูนย์รับมือสถานการณ์ฉุกเฉินเกาหลีใต้ว่า มีผู้เสียชีวิตในเหตุโศกนาฏกรรมย่านอิแทวอนเพิ่มอีก 2 ราย ในเวลาห่างกันไม่นาน เป็นหญิงชาวเกาหลีใต้ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส คนแรกอายุ 24 ปี เสียชีวิตเมื่อกลางดึกวันที่ 31 ต.ค. ส่วนคนที่สองวัย 20 ปี เสียชีวิตเมื่อช่วงเช้าวันที่ 1 พ.ย. ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้เพิ่มเป็น 156 ศพ และมีผู้บาดเจ็บสาหัสอยู่ที่ 29 คน บาดเจ็บเล็กน้อย 122 คนด้านนายยุน ฮีกึน ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเกาหลีใต้ ออกมาแถลงขอโทษต่อเหตุการณ์สะเทือนขวัญดังกล่าว พร้อมยอมรับข้อบกพร่องในการทำงานของตำรวจกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินและให้คำมั่นว่าจะตรวจสอบอย่างละเอียดถึงข้อผิดพลาดในครั้งนี้ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ยืนยันว่าก่อนเกิดเหตุสลด มีรายงานเหตุฉุกเฉินเข้ามาถึง 112 ครั้งขณะที่นายโอ เซฮุน นายกเทศมนตรีกรุงโซล ออกมาแถลงพร้อมทั้งน้ำตาถึงเหตุสลดดังกล่าวเช่นกันว่า ในฐานะนายกเทศมนตรีที่มีหน้าที่รับผิดชอบต่อชีวิตและความปลอดภัยของประชาชน ตนรู้สึกมีส่วนรับผิดชอบอย่างใหญ่หลวงต่ออุบัติเหตุครั้งนี้ และขออภัยอย่างยิ่ง ยืนยันว่ารัฐบาลกรุงโซลจะทำหน้าที่ ตามอำนาจที่มีอย่างสุดความสามารถในการจัดการเรื่องที่เกิดขึ้น ไปจนถึงการจัดพิธีศพเหยื่อทุกราย รวมทั้งช่วยให้ครอบครัวผู้สูญเสีย ผู้ได้รับบาดเจ็บ และประชาชนที่สะเทือนใจจากเหตุการณ์ครั้งนี้สามารถ กลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ พร้อมให้สัญญาว่าจะป้องกัน ไม่ให้มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก เช่นเดียวกับนายฮัน ด็อกซู นายกรัฐมนตรีเกาหลีใต้ เผยว่า เหตุดังกล่าวขาดการจัดการฝูงชนอย่างมีประสิทธิภาพรัฐบาลจำเป็นต้องปรับปรุงมาตรการการจัดการฝูงชนให้ดียิ่งขึ้น และการจัดกิจกรรมใดๆที่ไม่มีผู้รับผิดชอบดูแล จำเป็นต้องได้รับการวางมาตรการด้านความปลอดภัยและยกระดับการดูแลให้อยู่ในมาตรฐานของรัฐ นอก จากนี้ รัฐบาลจะมอบหมายให้ศูนย์จัดการภัยพิบัติและบรรเทาทุกข์แห่งชาติ รวมทั้งคลินิกด้านสุขภาพจิตในกรุงโซลจัดโครงการดูแลสภาพจิตใจของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุสลดดังกล่าว ซึ่งไม่ได้มีเพียงครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บ แต่รวมไปถึงทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์และประชาชนที่รู้สึกหดหู่สะเทือนใจกับข่าวสลดในครั้งนี้ด้วยทั้งนี้ มีรายงานว่า สถานีตำรวจยงซาน ตั้งศูนย์ Lost and Found พร้อมนำสิ่งของที่ตกอยู่ในคืนเกิดเหตุมาจัดวางเรียงในโรงยิม เพื่อประกาศตามหาเจ้าของ ซึ่งมี อาทิ กระเป๋า เสื้อผ้า รองเท้า ของอื่นๆ เช่น ที่รัดผม วิก พวงกุญแจ หน้ากาก แว่นตา ฯลฯ รวมถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆจำนวนมาก นอก จากนี้ยังมีรายงานด้วยว่า การปฐมพยาบาลช่วยชีวิตด้วยการผายปอดและปั๊มหัวใจ หรือ CPR ได้กลายเป็นเทรนด์ฮิตในโซเชียลมีเดียเกาหลีใต้ คนจำนวนมากต่างโพสต์ข้อความ ภาพ หรือคลิปวิดีโอแสดง ความสนใจหรือลงสมัครเรียนการทำ CPR ขณะที่องค์กรสาธารณะหลายแห่งที่รับฝึกสอนการช่วยชีวิต ยืนยันว่าจำนวนผู้สมัครเข้าอบรมมีจำนวนพุ่งสูงอย่างเห็นได้ชัดสำหรับการช่วยเหลือนำร่าง น.ส.ณัฐธิชา มาแก้ว หรือครูแบมแบม ครูสอนภาษาเกาหลี ที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ที่อิแทวอนนั้น นายธานี แสงรัตน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่าสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล อยู่ระหว่างการประสานงานกับทางการเกาหลีใต้ และบิดามารดาของผู้เสียชีวิตเกี่ยวกับเรื่องการจัดการศพ ซึ่งครอบครัวได้มอบอำนาจให้สถานเอกอัครราชทูตฯ จัดการศพแล้ว โดยมีความประสงค์จะให้ส่งศพกลับมาประกอบพิธีกรรมทางศาสนาที่ประเทศไทย ในชั้นนี้ยังรอว่าฝ่ายตำรวจเกาหลีใต้จะพร้อมให้รับศพออกจากโรงพยาบาลเมื่อไร และสถานเอกอัครราชทูตเกาหลีใต้ประจำประเทศไทย ได้ขอเบอร์โทร.ติดต่อกับบิดาผู้เสียชีวิต ซึ่งน่าจะเป็นผลดีในกรณีที่ครอบครัวจะเดินทางไปเกาหลีใต้ หรือจะมีการมอบเงินเยียวยาต่อไปในอนาคต (หากมี) นอกจากนี้ รมว.ต่างประเทศ เกาหลีใต้ ได้ส่งหนังสือแสดงความเสียใจมายังสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล เพื่อร่วมแสดงความเสียใจกับครอบครัวคนไทยที่เสียชีวิต และสถานเอกอัคร ราชทูตฯ ได้แจ้งให้ครอบครัวผู้เสียชีวิตรับทราบแล้วนอกจากนี้ นายธานีกล่าวด้วยว่า เมื่อเวลา 11.05 น. (ตามเวลาท้องถิ่น) นายวิชชุ เวชชาชีวะ เอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล ได้รับแจ้งจาก Ms.Eui-hae Cecilia Chung อธิบดีกรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอาเซียนกระทรวงการต่างประเทศของเกาหลีใต้ ว่าทางการเกาหลีใต้ยินดีให้ความช่วยเหลือด้านค่าใช้จ่ายในการส่งร่างผู้เสียชีวิตกลับไทย สำหรับรายละเอียดค่าใช้จ่ายดังกล่าว อยู่ระหว่างการประสานงานส่วนที่ อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.สุกัญญา องค์วิเศษไพบูลย์ แรงงานจังหวัดเพชรบูรณ์ พร้อมคณะ เข้าพบเพื่อแจ้งสิทธิที่ น.ส.ณัฐธิชาจะได้รับเป็นเงินประกันสังคมที่ผู้เสียชีวิตเคยไปทำ งานที่ร้านอาหาร กระทั่งต่อมาได้ลาออกและไม่ได้ส่งเงินประกันสังคม แต่ยังได้รับสิทธิคุ้มครองต่ออีก 6 เดือน รวมแล้วจะได้เงินเยียวยาประกอบด้วย เงินค่าทำศพ 50,000 บาท บำเหน็จชราภาพ 15,500 บาท ดอกเบี้ยอีกเล็กน้อยรวมกว่า 65,000 บาทเศษ ขณะเดียวกัน สถานทูตไทยที่ประเทศเกาหลีใต้ได้โทรศัพท์ผ่านแอปฯไลน์มาถึงนายเพชรลัดดา บุญแสน อายุ 30 ปี ลูกพี่ลูกน้องกับ น.ส.ณัฐธิชา โดยแจ้งว่า รัฐบาลเกาหลีใต้จะช่วยเหลือเงินทำขวัญเป็นเงิน 20 ล้านวอน หรือประมาณ 600,000 บาท และเงินค่าทำศพ 15 ล้านวอน หรือประมาณ 450,000 บาท แต่ยังไม่สามารถระบุวันเวลาที่จะเยียวยา ส่วนเรื่องการนำศพของ น.ส.ณัฐธิชากลับมาบ้านเกิดนั้นอาจต้องใช้เวลา 3-4 วัน ส่วนเงินค่าใช้จ่ายในการนำร่าง น.ส.ณัฐธิชากลับเมืองไทยนั้นอยู่ที่ประมาณ 400,000 บาท อาจจะต้องไปหักจากเงินเยียวยาต่อมาผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจากนายสาคร มาแก้ว อายุ 67 ปี และนางหนา มาแก้ว อายุ 64 ปี บิดามารดาของผู้เสียชีวิต ซึ่งประกอบอาชีพเกษตรกร ที่ยังอยู่ในอาการโศกเศร้าว่า ตนมีบุตรเพียงคนเดียวก็หวังจะฝากผีฝากไข้ แต่ไม่คิดว่าบุตรสาวจะด่วนจากไปโดยไม่ได้ร่ำลาแบบนี้ ยังทำใจไม่ได้เพราะบุตรสาวเป็นเด็กดี น่ารักไม่เที่ยวเตร่ ทุกครั้งที่กลับมาบ้านจะอยู่กับพ่อแม่ไม่ออกไปไหน ก่อนหน้านี้มหาวิทยาลัยที่บุตรสาวไปเรียนได้ส่งไปฝึกงานที่ประเทศเกาหลี 3 เดือน แต่ครั้งนี้เป็นการไปเรียนต่อของบุตรสาวเอง เคยทัดทานไม่ให้ไป แต่บุตรสาวยืนยันจะไปหาความก้าวหน้า เพราะบุตรสาวประกอบอาชีพเป็นครูสอนภาษาที่สถาบันสอนภาษาที่กรุงเทพฯพ่อแม่ครูแบมแบมกล่าวอีกว่า เงินที่ต้องเดินทางไปศึกษาต่อและค่าใช้จ่ายต่างๆ นั้น ได้กู้ยืมมาส่งลูกไปเรียนต่อ จากนี้ไปคงต้องหาใช้หนี้แทนลูกต่อไป ลูกสาวเองพยายามหางานทำที่ประเทศเกาหลี แต่ไม่สามารถทำได้เพราะระเบียบระบุว่าจะต้องอยู่ครบ 6 เดือนก่อน ครอบครัวประกอบอาชีพเกษตรกรรม ไม่ได้ร่ำรวยอะไร ครั้งที่ลูกเรียนนั้นก็กู้ยืมเงิน กยศ. จบมาต้องชดใช้คืน แต่ยังเป็นหนี้อีกจำนวนมาก หลังทราบข่าวว่าจะต้องหาเงิน 400,000 บาท เพื่อนำร่างลูกกลับบ้านมาประกอบพิธีทางศาสนานั้น รู้สึกเครียดเพราะไม่มีเงิน จึงเตรียมหยิบยืมเงินทองจากญาติพี่น้องเพื่อนบ้านหรือบ้านใกล้เคียง อีกทั้งเงินทำศพต้องเตรียมพร้อม ต่อจากนี้ไปต้องต่อสู้เพียงลำพังเพื่อหาเลี้ยงกันสองคนยามแก่เฒ่า คงไม่มีใครให้ฝากผีฝากไข้อีกต่อไปแล้ว หากผู้มีจิตศรัทธาประสงค์ร่วมทำบุญ ก็ขอขอบคุณและสามารถบริจาคได้ที่ชื่อบิดาคือ นายสาคร มาแก้ว ธนาคาร ธ.ก.ส.สาขาหล่มสัก เลขที่บัญชี 020105993081