ทันทีที่การระบาดโควิด-19 คลี่คลายดีขึ้น “ความรุนแรงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้” ได้หวนกลับมาร้อนเป็นไฟอีกเมื่อ “ผู้ก่อความไม่สงบ” ก่อเหตุลอบวางระเบิด-วางเพลิงรายวันช่วงที่ผ่านมา คราวนี้มุ่งโจมตี “เป้าหมายเชิงเศรษฐกิจ” แสดงศักยภาพให้เห็นว่า “กองกำลังยังเคลื่อนไหวปฏิบัติการ” เพื่อรักษาความรุนแรงหล่อเลี้ยงสถานการณ์สนับสนุนยุทธการ สร้างความเข้มแข็งในเชิงการทหาร ในเรื่องนี้ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) บอกว่าเหตุความไม่สงบในพื้นที่ 3 จชต.ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีฐานปฏิบัติการตำรวจน้ำตากใบ และวางเพลิงร้านสะดวกซื้อ 19 จุด ล้วนเป็นยุทธศาสตร์ใช้หลักการรบช่วงชิงจังหวะสร้างเครดิตเรียกร้องความสนใจในการแสดงความเป็นตัวตนเชิงสัญลักษณ์โชว์ความแข็งแกร่งตอกย้ำให้เห็นว่า “รัฐไทย” ควบคุมป้องกันสถานการณ์ไม่ได้ “จนพี่น้องประชาชนต้องตกอยู่ในอันตราย” ถ้าดูดีๆ “การก่อเหตุแต่ละครั้งถูกกำหนดเป็นยุทธศาสตร์ไว้แล้ว” ทั้งการวางตำแหน่งคนและจังหวะปฏิบัติการเป็นขั้นเป็นตอนมีจุดประสงค์ชัดเจนจริงๆแล้ว “ผู้ก่อความไม่สงบใน 3 จชต.มีหลายกลุ่ม” ถ้าย้อนอดีตที่เป็น หน.คณะผู้แทนพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ “คราวนั้นเน้นพูดคุยกับบีอาร์เอ็นเป็นกลุ่มแรกที่มีกองกำลังติดอาวุธขนาดใหญ่” ตามการพิสูจน์ทราบหน่วยข่าวกรองฝ่ายไทยและฝ่ายมาเลเซียนั้น พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตรก่อนขยายมาพูดคุยกลุ่มอุดมการณ์ทางแนวคิดต้องการเขตปกครองพิเศษ ที่ไม่มีกองกำลังแนวร่วมปฏิบัติการ แต่พอเปลี่ยนเป็นรัฐบาล “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ” ได้หยิบยกขึ้นมาใหม่ แต่คราวนี้หันไปพูดคุยกับ “กลุ่มมาราปาตานี 2-3 ครั้ง” ที่มีขบวนการร่วม 4 กลุ่ม คือ บีไอพีพี จีเอ็มไอพี พูโลเอ็มเคพี พูโลดีเอสพีพีเหตุนี้ทำให้ “บีอาร์เอ็น” แสดงแสนยานุภาพก่อเหตุความรุนแรงอย่างหนักรายวัน “เพื่อยกตัวเองเป็นคู่พูดคุยกับคณะฝ่ายไทย” ที่สามารถขับเคลื่อนกระบวนการสันติสุขไปได้จริง จนกระทั่งยุค “พล.อ.วัลลภ รักเสนาะ” อดีตเลขาธิการ สมช. ขึ้นมาเป็น หน.คณะพูดคุยเพื่อสันติสุขหันกลับมาพูดคุยกับบีอาร์เอ็นใหม่จนถึงทุกวันนี้ปัญหาว่า “ผู้แทนบีอาร์เอ็นเข้าร่วมพูดคุยกับฝ่ายไทย” ส่วนใหญ่เป็นฝ่ายนโยบายและฝ่ายการเมือง ที่มักขัดแย้งไม่ลงรอยกับ “ฝ่ายกองกำลังปฏิบัติการ” กลายเป็นว่าเวทีตกลงกันได้แต่ในทางปฏิบัติกลับไม่เป็นแบบนั้นร้อยเปอร์เซ็นต์ เช่น การกำหนดเขตเซฟตี้โซนหยุดความรุนแรง ในบางพื้นที่ ลงตัวดีแต่บางแห่งก็ไม่ได้ผลด้วยขั้นตอน “การสื่อสารภายในบีอาร์เอ็นซับซ้อน” ต้องอำพรางตัวเป็นชั้นๆ ทำให้ไม่ทันการณ์กว่าคำสั่งหยุดก่อเหตุจะถึง “ฝ่ายกองกำลัง” ก็ครบกำหนดกรอบตกลงกันแล้ว ทำให้เกิดการแสดงอิทธิฤทธิ์ระลอกใหม่ ตอกย้ำถูกมองว่า “เวทีการพูดคุยไม่สามารถยุติความรุนแรงได้จริง” ด้วยผู้แทนฝ่ายบีอาร์เอ็นมาร่วมพูดคุยกับฝ่ายไทยนั้น “ไม่มีอำนาจตัดสินใจหรือไม่” เพราะปัญหาความไม่สงบยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนในระยะหลังมานี้ “ฝ่ายกองกำลังปฏิบัติการได้เข้ามาร่วมเป็นผู้แทนคณะ” เพื่อการสื่อสารสั่งการจะง่ายรวดเร็วยิ่งขึ้นสิ่งสำคัญ “ฝ่ายไทย” มักเรียกเวทีเพื่อสันติสุข “เป็นการพูดคุย” ขณะเดียวกัน “ฝ่ายบีอาร์เอ็น” ก็พยายามผลักดันใช้คำว่า “การเจรจา” เพื่อยกระดับให้ฝ่ายผู้อำนวยความสะดวกอย่าง “มาเลเซียกลายสภาพเป็นคนกลาง” ถ้าเป็นเช่นนั้นข้อเรียกร้องใดตกลงกันไม่ได้ “ผู้เป็นคนกลาง” จะต้องเข้ามาเป็นผู้ทำหน้าที่ชี้ขาดให้เป็นข้อยุตินั้นทันทีดังนั้น “ฝ่ายไทย” จึงไม่ยอม พยายามใช้ “การพูดคุย” เพื่อผลักให้มาเลเซียคงอยู่ในสถานะผู้อำนวยความสะดวกให้ใช้พื้นที่จัดเวทีพูดคุยกัน 2 ฝ่ายเท่านั้น แต่จะมิให้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งในพื้นที่ 3 จชต.นี้ ส่วนสาเหตุที่ต้องใช้ “มาเลเซียเป็นพื้นที่จัดเวทีพูดคุยกัน 2 ฝ่ายมาตลอดนั้น” ก็ด้วยเพราะตอนนี้ “ฝ่ายบีอาร์เอ็นตกอยู่ในฐานะเป็นผู้ทำผิดกฎหมาย” ถ้าหากว่า “ฝ่ายไทย” จัดเวทีพูดคุยกับผู้ทำผิดขึ้นในประเทศโดยไม่จับกุม อาจมีปัญหาตามมา เหตุนี้จึงขอใช้พื้นที่มาเลเซียเป็นเวทีกลางในการพูดคุยแทนดีที่สุดอีกทั้งมาเลเซียก็เห็นด้วยว่า “ไม่ควรเกิดปัญหาความรุนแรงในไทย” แล้วผู้ก่อเหตุหนีเข้ามาหลบซ่อนตัวในประเทศ “กลายเป็นถูกกล่าวหาช่วยเหลือปกป้องผู้กระทำความผิด” ดังนั้นเพื่อรักษาสถานะ “มาเลเซีย” จึงเสนอตัวเป็นผู้อำนวยความสะดวกจัดให้มีการพูดคุยโดยทั้ง 2 ฝ่ายต่างให้การยอมรับมาตลอดทว่าที่ผ่านมาจะเห็นว่า “บีอาร์เอ็นเป็นฝ่ายเรียกร้องให้ฝ่ายไทยปฏิบัติตาม” ก็เพราะเขากำลังตกอยู่สถานะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ “ย่อมต้องสร้างประเด็นความรุนแรง” นำมาสู่การเรียกร้องพูดคุยเสมอมาอยู่แล้ว ในสมัยเป็น หน.คณะผู้แทนพูดคุย เรื่องใดรู้สึกตะขิดตะขวงใจมักตัดทิ้งไม่ยอมให้เสียเปรียบเกิดขึ้นเด็ดขาด เพียงแต่ว่า “ประชาชนหรือหน่วยงานอื่น” เป็นกังวลกลัวว่า “ผู้แทน ฝ่ายไทย” จะเพลี่ยงพล้ำทำให้พื้นที่ 3 จชต.ตกเป็นเขตปกครองพิเศษ ในตรงนี้ยืนยันว่า “เวทีพูดคุยนั้นฝ่ายไทยไม่มีวันเสียเปรียบ” ด้วยการพูดคุยอย่างเป็นทางการครั้งแรกได้ลงนามบันทึกข้อตกลงไว้ว่า ข้อเรียกร้องต้องยืนอยู่บนหลักภายใต้รัฐธรรมนูญไทยเท่านั้นเพราะด้วย “คนกลุ่มหนึ่งพยายามนำประวัติศาสตร์ในอดีต” เพื่อเป็นเครื่องมือเกื้อกูลข้อเรียกร้องต้องการเสรีภาพในการแบ่งแยกดินแดน ทำให้เกิดกลุ่มหัวรุนแรงตั้งเป็นกองกำลังขึ้น “ฉวยโอกาสจุดที่รัฐไทยอ่อนแอ” ในกลุ่มภัยแทรกซ้อนทำผิดกฎหมาย ค้ายาเสพติด ค้าของเถื่อน เป็นมือปืนรับจ้างในการก่อเหตุแต่ละจุดรับค่าแรง อันเป็นช่องโหว่ให้ “ขบวนการแบ่งแยกดินแดน” หยิบยกจุดนี้มาใช้เป็นประโยชน์ผสมผสานกับการก่อเหตุของกองกำลังจริงของพวกเขา สร้างประเด็นก่อความไม่สงบให้เกิดข้อเรียกร้อง โดยเฉพาะจุดกระแสให้ที่ประชุมมุสลิมโลกเห็นว่า “ฝ่ายไทยตอบโต้รุนแรง” อันจะนำไปสู่การประณามผลักดันเข้าเวทีโลกมาตลอดล่าสุดการพูดคุยเพื่อสันติสุขครั้งที่ผ่านมาก็มีผู้สังเกตการณ์จาก “ยุโรป” เช่น ผู้แทนอังกฤษ และนอร์เวย์เข้ามาร่วมรับฟัง แต่ก็ไม่มีบทบาทในการเข้ามาแทรกแซงชี้ขาดใดๆได้ประเด็นมีอยู่ว่า “กระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุขล่าช้า” มาตั้งแต่เกิดการรัฐประหารเมื่อปี 2557 จากนั้นก็ “กลายมาเป็นรัฐบาลทหารจนถึงทุกวันนี้” สิ่งที่ตามมาคือฝ่ายก่อความไม่สงบกลับไม่ไว้ใจ “รัฐบาล” แต่ด้วยไม่ต้องการให้กระบวนการเพื่อสันติสุขยืนหยุดนิ่งอยู่เฉยๆเลยต้องพูดคุยกันให้เป็นความเคลื่อนไหวเท่านั้น “กลายเป็นเสมือนการย่ำอยู่กับที่โดยไม่มีความคืบหน้า ทำให้สถานการณ์ในพื้นที่ 3 จชต.ยังคุกรุ่น เชื่อว่าถ้าเปลี่ยนเป็นรัฐบาลประชาธิปไตยเมื่อใด การพูดคุยเพื่อสันติสุขจะถูกหยิบยกมาพูดคุยกันเข้มข้นยิ่งขึ้น แล้วฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบจะยอมรับมากกว่าเดิม เพื่อเดินหน้าสู่ความสงบสุขร่วมกันอย่างที่คาดหวังไว้” พล.ท.ภราดรว่าถัดมาต้องยอมรับว่า “การข่าวฝ่ายไทยมีจุดอ่อน” เพราะขาดความต่อเนื่องอย่างลึกซึ้งของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติไม่ว่าจะเป็นในแง่การข่าว หรืองานด้านยุทธการ เพราะแต่เดิมถูกสลับสับเปลี่ยนกองกำลังทหารจากนอกภูมิภาคอื่นเข้าไปปฏิบัติงาน จนทำให้ขาดความเชี่ยวชาญเข้าใจหลักในพื้นที่โดยสิ้นเชิงยิ่งกว่านั้น “สูญเสียงบประมาณปีละหมื่นล้านบาท” แล้วถูกแปรเป็นงบราชการลับตรวจสอบไม่ได้ สุดท้ายถอนมาใช้กำลังพลกองทัพภาค 4 ที่ถูกออกแบบให้คุ้นเคยในปฏิบัติการสามารถเข้าใจขนบธรรมเนียมดีที่สุด สุดท้ายย้ำว่าวันนี้ “การแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จชต.” ยังถือว่าไม่ประสบความสำเร็จเข้าเกณฑ์เท่าที่ควร ฉะนั้น กลไกสำคัญยืนยันหลักการ “การพูดคุย” โดยไม่เน้นเฉพาะส่วนกลางเท่านั้นแต่ “ควรเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากคนในพื้นที่ทั่วไป” แล้วนำข้อมูลที่ได้นั้นนำมาสะท้อนเข้าเวทีใหญ่สิ่งนี้จะเป็นข้อมูลยืน “ฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบ” อันเป็นสิ่งที่ประชาชนในพื้นที่มีความต้องการจริงๆ เพราะความขัดแย้งในพื้นที่ 3 จชต.นั้นเป็นเพียง “ความคิดเห็นต่าง” ที่ยังไม่ถึงขั้นแตกแยกจนแก้ไม่ได้เสียเลย เพียงแต่ “รัฐบาล” ต้องเปิดใจกว้างยอมฟังตามหลัก “พูดคุยดีกว่าใช้กำลังความรุนแรง” แล้วสันติสุขจะมาสู่ชายแดนภาคใต้ย้ำว่าการแก้ปัญหาในพื้นที่ 3 จชต.สามารถยุติลงได้แน่นอนคือ “ทุกฝ่ายต้องมีส่วนร่วม” ด้วยการใช้กลไก “พูดคุยอย่างสันติวิธี” แล้วสันติสุขสันติภาพจะนำมาสู่ชายแดนภาคใต้อย่างยั่งยืน.