เมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมา เพื่อนๆ “คอลัมนิสต์” ของผมหลายๆคนในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐได้แสดงความไม่เห็นด้วย บวกกับความห่วงกังวลต่อประเด็นปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมที่อาจจะเกิดขึ้น จาก “ร่างกฎหมาย กยศ.” หรือกฎหมายให้กู้ยืมเงินเพื่อการศึกษา ที่ผ่านสภาผู้แทนขึ้นไปสู่วุฒิสภาเป็นที่เรียบร้อยแล้วผมเองก็ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับ “ประเด็นหลัก” ของร่างกฎหมายที่สภาผู้แทนราษฎรชุดนี้แก้ไขอย่างพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือชนิดเห็นได้ชัดเจนว่า เพื่อการ “หาเสียง” กับผู้ที่จะมาใช้เงินกู้นี้ในอนาคต โดยเผื่อแผ่ย้อนหลังกลับไปถึงผู้ที่เคยใช้มาแล้วในอดีต และกำลังมีปัญหาที่จะเบี้ยวกองทุน กยศ.ถึงเกือบ 2.5 ล้านรายอีกด้วยผลเสียหลักๆที่จะเกิดขึ้นแก่ระบบเศรษฐกิจและสังคมไทยในอนาคต ตามที่เพื่อนผมสรุปไว้ และผมก็เชื่อว่าจะเป็นเช่นนั้น ได้แก่ ประเด็น “ยกเลิกค่าปรับ” แก่ผู้ผิดชำระหนี้ โดยไม่เก็บเลยแม้แต่บาทเดียวนั่นเองทั้ง “แม่ลูกจันทร์” แห่งสำนักข่าวหัวเขียว และคุณ “ลม เปลี่ยนทิศ” แห่งคอลัมน์หมายเหตุประเทศไทย เสนอความคิด ความเห็นเอาไว้อย่างมีเหตุมีผลอย่างยิ่ง รวมทั้งได้ฝากความหวังไปถึงการพิจารณาของ วุฒิสภา ด้วย...ลงตีพิมพ์ในไทยรัฐฉบับเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมานี่แหละครับ ลองหาอ่านกันดูนะครับท่าน ส.ส.และ ส.ว.ที่เคารพต่อมาอีก 2 วัน ผมก็มีโอกาสได้อ่านความเห็นของบุคคลที่ผมอยากได้ยินได้ฟังมากที่สุด...นั่นก็คือ ท่านประธานรัฐสภา ชวน หลีกภัยในฐานะที่ท่านเคยเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และเป็นนายกรัฐมนตรี ในนามพรรคประชาธิปัตย์...ซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดกองทุนนี้ ซึ่งเป็น 1 ในนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ในยุคนั้นผมจึงอยากฟังความเห็นของคุณชวนมากที่สุด และท่านก็ได้ให้สัมภาษณ์แล้ว ที่ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ตรัง ในวันเปิดอาคาร เรียนหลังใหม่ เมื่อวันวานนี้เอง“ในการเปิดมหาวิทยาลัย เพื่อขยายโอกาสการศึกษานั้น หากเปิดแต่สถานศึกษา ไม่มีเงินทุนเรียนก็เป็นการเสียโอกาส จึงตั้งกองทุน กยศ. ขึ้นมาในปีงบประมาณ 2539 จำนวน 4,000 ล้านบาท แต่ถูกตัดงบลดลงเหลือ 3,000 ล้านบาท”“กยศ.โตขึ้นมาเรื่อยๆจาก 3,000 ล้านบาท เป็น 6,000 ล้านบาท จากเด็กที่ได้เรียน 70,000-80,000 คน เพิ่มเป็น 6 ล้านคน”“ช่วงแรกๆเด็กที่กู้ส่วนใหญ่คืนเงินกู้ แต่ช่วงหลังมหาวิทยาลัยเอกชนนำเงินมาให้เด็กกู้ยืม แล้วยุยงไม่ให้เด็กคืนเงินที่กู้มาเรียนไปหลอกเด็กว่าให้เรียนฟรี...แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งไม่ใช่ทั้งหมด”“จากตัวเลขมหาวิทยาลัยของรัฐที่กู้แล้วไม่คืนมีน้อยมาก แต่ของเอกชนมีสัดส่วนเยอะถึง 60-70 เปอร์เซ็นต์ จึงพยายามรณรงค์ให้คืนเงินจะได้มาหมุนเวียนให้รุ่นน้องรุ่นหลานเรียนต่อ”“เงินแม้สำคัญก็จริงแต่ไม่สำคัญเท่ากับสร้างคนให้มีความรับผิดชอบ...กู้แล้วไม่คืน เราได้คนมีความรู้แต่เริ่มต้นโกง...ส่วนคนที่คืนไม่ได้เพราะไม่มีงานทำ อันนี้เห็นใจต้องพยายามหาทางช่วยเหลือ”ผู้สื่อข่าวถามว่าคิดเห็นอย่างไรที่สภาผ่านร่างกฎหมายฉบับนี้...ท่านตอบว่าในการประชุมรัฐบาลขอคิดดอกเบี้ยร้อยละ 2 กรรมาธิการให้เหลือ 0.25 เปอร์เซ็นต์ แต่พอเข้าที่ประชุมสภา กลุ่มไม่คิดดอกเบี้ยเลยเป็นฝ่ายชนะ...ก็ต้องเป็นไปตามนั้นในชั้นนี้แต่ท่านประธานชวนก็สรุปว่า “ต้องรอดูว่าวุฒิสภามีความคิดเห็นอย่างไร ถ้าวุฒิสภามีความเห็นไม่แก้ไข ก็ต้องผ่านไปเลยโดยไม่คิดดอกเบี้ย แต่ถ้าแก้ไขก็ต้องย้อนกลับมาอีกที...เรื่องยังไม่ยุติ”ครับ! ก็คงต้องลุ้นกันต่อว่าในที่สุดแล้ว ท่านสมาชิกวุฒิสภา ท่านจะคิดเห็นเรื่องนี้อย่างไร...ผมยังเชื่อในความจริงและความถูกต้อง และเห็นว่าการปรับโดยมีการเรียกดอกเบี้ยบ้าง เป็นเรื่องถูกต้องจึงขอตั้งความหวังล่วงหน้าว่าท่าน ส.ว. ซึ่งไม่มีความจำเป็นจะต้องหาเสียงกับใครที่ไหน และส่วนใหญ่เป็นบุคคลที่มีปูมหลังผ่านการรับราชการ หรือผ่านการทำงานเพื่อความถูกต้องของสังคมไทยในด้านต่างๆมาเป็นส่วนใหญ่ จะควํ่าร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้นะครับ.“ซูม”