สำนวนพูด “คุกตะรางไม่ได้มีไว้ขังหมา?” คนพูดเจตนาแค่เตือนไม่ให้เพื่อนทำผิดกฎหมาย ผมยกเอามาใช้นำเรื่องที่จะเขียนถึงเรื่อง “คนพวงและหับเผย”ผมอยากเล่าว่า คุกตะรางสมัยโบราณไม่ได้มีไว้ขังแค่นักโทษเท่านั้นในหนังสือ เกร็ดภาษาหนังสือไทยเล่ม 1 (สำนักพิมพ์พิมพ์คำ พิมพ์ครั้งที่ 7 พ.ศ.2553) อาจารย์ ส.พลายน้อย เล่าว่า คำ “คนพวง” ไม่มีในพจนานุกรม แต่ท่านอ่านเจอใน ขุนช้าง ขุนแผนแม่ค้าเห็นคนพวงล่วงเข้าตลาด บ้างยกกระจาดหับกระชังระวังผ้า พวกที่นั่งร้านรายขายกุ้งปลา ถือกะโล่โง่ง่าตั้งท่าคอยคนพวงเป็นคำเรียกนักโทษที่ถูกร้อยเป็นพวงเดียวกัน ลักษณะการปกครองคุ้มกันสมัยโบราณ ทางคุกไม่มีอาหารเลี้ยงต้องหากินกันเอง หรือไม่ก็รอให้ลูกเมียญาติมิตรเอาอาหารไปส่ง“คุก” หรือที่เรียก “เรือนจำ” นั้น สมัยก่อนนั้น ทำเป็นเรือนจริงๆกฎหมายโบราณ กล่าวไว้ตอนหนึ่ง...กรรมการให้แต่งที่แต่งเรือนตามโทษหนักโทษเบาไว้ ณ กลางเมือง เรือน 3 ห้อง ฝากระดานตรึงเหล็กขุดหลุมใต้ท้องเรือนลึกห้าศอก มีกระดานปกบน ลั่นกุญแจตามกฎสั่ง ให้ไว้บนก็ดี ขุมก็ดี ตามโทษหนักโทษเบา ถ้าโทษถึงตายให้ลงขุมแสดงว่านักโทษสมัยโบราณขังไว้แห่งเดียวกัน ถ้าเป็นโทษหนักก็ขังขุมหรือใต้ดิน คือที่ใต้ถุนเรือน ซึ่งคงจะเรียก“ตรุ” นั่นเอง ถ้าเป็นโทษเบาก็ขังบนเรือนอาจารย์ ส.พลายน้อยให้ข้อสังเกตไว้ว่า การแยกขังนักโทษที่ว่าบนเรือนนี้ ตามกฎมณเฑียรบาล ทำไว้สำหรับลูกหลวง แต่ถ้าเป็นคนธรรมดา อาจไม่มีพื้นเรือนก็ได้คำคุกตะราง ในหนังสือภูมิสถานกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า แยกออกจากกันชัดเจนอนึ่ง มีคุกสำหรับใส่คนโทษ โจรผู้ร้ายปล้นสะดมแปดคุก มีตะรางหน้าคุกสำหรับใส่ลูกเมียผู้ร้ายทุกหน้าคุก ซึ่งโทษเบาเป็นแต่โทษเบ็ดเตล็ด ใส่โซ่พวงละเก้าคนสิบคนใช้ทำราชการเมืองที่โทษหนัก ต่อวันพระห้าค่ำ แปดค่ำ สิบเอ็ดค่ำ สิบห้าค่ำ จึงใส่พวงคอพวงละยี่สิบสามสิบคน และเมียผู้ร้ายนั้น ใส่กรวนเชือกผูกแถวต่อกันไป ผูกติดท้ายพวงคอออกเที่ยวขอทานกินจะเห็นว่าคุกและตะรางมีความหมายต่างกันแต่โบราณ การสร้างตะรางหน้าคุกเพื่อใส่ลูกเมียผู้ร้ายนั้น แสดงว่าตะรางเป็นที่คุมขังธรรมดา คงไม่แน่นหนาเหมือนคุกและตะรางที่คุมขังธรรมดานั้น จะมีกระท่อม หรือเพิงที่พักที่แผงเปิดได้ ปลูกไว้ด้านหน้า เรียกว่า “หับเผย”กติกาการคุมขังคนโทษสถานเบา...อนุญาตให้ไปนอนกับเมียได้เป็นครั้งคราวแสดงว่าตะรางสมัยโบราณที่ไม่มีอาหารเลี้ยง ยอมให้ลูกเมียไปอยู่ด้วย หรือเอาเข้าพวง ออกขอทานกิน ฟังดูน่าอเนจอนาถนักหนาแต่ก็มีบางส่วน เช่นตอนมีหับเผย ให้นอนกับเมียได้ น่ารักกว่าตะรางสมัยนี้ไม่น้อยเรื่องคุกตะราง ที่ชาวบ้านพูดกันว่า มีไว้ขังคน...เป็นแค่เรื่องสมมติของพระ แบบพระป่า...เท่านั้นนะครับ...พระอาจารย์พรหม เคยเล่าเรื่อง วิถีพระป่าในวัดท่านที่เมืองเพิร์ธ...ลำบากกว่าชีวิตในคุกมหันตโทษออสเตรเลีย...ที่มีอาหารครบทุกมื้อ มีที่นอนพร้อมหรือจะลองเปรียบ...กับชีวิตผู้นำ...ที่รอวันสิ้นเดือน ตัดสินชะตา...จะอยู่ต่อหรือจะไป...ที่กินที่อยู่ก็โอ่อ่าอัครฐาน...ออกปากนั้น... แต่ทางใจ หากปรับไม่เป็น ก็อาจทุรนทุราย...ยิ่งกว่าคนโทษโบราณสมัยคนพวงตามคำสอนหลักของพุทธศาสนา ทุกข์สุขนั้นไม่ได้อยู่ในคุก หรือนอกคุก หากแต่อยู่ที่ใจ...เท่านั้นเอง.กิเลน ประลองเชิง