สัปดาห์ที่ผ่านมา สถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยชี้แจงเรื่องการเดินทางเยือน ไต้หวันแห่งประเทศจีนของนางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ โดยมีรายละเอียดดังนี้ไต้หวันเป็นของประเทศจีนตั้งแต่สมัยโบราณ เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดของประเทศจีน และเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของจีนที่แบ่งแยกมิได้ นับตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซ่งในศตวรรษที่ 10 รัฐบาลจีนทุกสมัยต่างก็ได้จัดตั้งหน่วยงานบริหารราชการ ในไต้หวันอย่างเป็นลำดับ เพื่อปฏิบัติตามอำนาจ การบริหารและปกครองเมื่อวันที่ 1 ต.ค.2492 รัฐบาลกลางแห่ง สาธารณรัฐประชาชนจีนได้สถาปนาขึ้นมา โดยทดแทนรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐจีน และกลายเป็นรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฎหมายเพียงรัฐบาลเดียวของทั่วประเทศจีน และก็เป็นตัวแทนที่ถูกต้องตามกฎหมายเพียงหนึ่งเดียวในประชาคมโลก จึงสามารถถือครองและใช้อำนาจอธิปไตยของประเทศจีนตามสิทธิ์อย่างทั่วไป ซึ่งรวมทั้งอธิปไตยเหนือไต้หวันด้วยกลุ่มอำนาจของพรรคก๊กมินตั๋งได้ถอยไปยังมณฑลไต้หวันของจีน โดยอาศัยการสนับสนุนจากอิทธิพลต่างประเทศได้เป็นปฏิปักษ์ต่อ รัฐบาลกลาง จึงเป็นเหตุที่ทำให้ปัญหาไต้หวันเกิดขึ้นมา ต่อมาในปี 2514 สมัชชาใหญ่แห่ง สหประชาชาติสมัยที่ 26 ได้ผ่านมติหมายเลขที่ 2758 ขับไล่ผู้แทนของทางการไต้หวันออกไป และฟื้นฟูที่นั่งและสิทธิชอบด้วยกฎหมายทั้งหมดของรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนในสหประชาชาติปี 2521 จีนกับสหรัฐฯได้ออกแถลงการณ์ ร่วมว่าด้วยการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต โดยทางสหรัฐฯยอมรับว่า รัฐบาลแห่งสาธารณรัฐ ประชาชนจีนเป็นรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฎหมายเพียงรัฐบาลเดียวของประเทศจีนและรับรองจุดยืนของจีน ซึ่งก็คือมีแค่ประเทศจีนเดียวและไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีน ปัจจุบัน ทั้งหมด 181 ประเทศที่ได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศจีนต่างก็ยอมรับว่า ในโลกนี้มีแค่ประเทศจีนเดียวปัญหาไต้หวันเป็นปัญหาที่สำคัญที่สุดและละเอียดอ่อนที่สุดในความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ ทางสหรัฐฯได้เน้นย้ำหลายครั้งในหลักการประเทศจีนเดียวและไม่สนับสนุนการแยกตัวเป็นเอกราชของไต้หวัน การที่นางแนนซี เพโลซี เดินทางเยือนไต้หวันได้แสดงให้เห็นว่า ทางสหรัฐฯพูดอย่างทำอย่าง ไม่มีความน่าเชื่อถือและสัจธรรม ถูกคนทั่วไปดูถูกกัน และทำให้เครดิตรัฐของสหรัฐฯสูญหายไปหมดสาเหตุที่แท้จริงก็คือ ทางการไต้หวัน และฝ่ายสหรัฐฯได้พยายามเปลี่ยนสถานะที่เป็นอยู่อย่างต่อเนื่อง ทางการไต้หวันอยากจะพึ่งสหรัฐฯเพื่อแสวงหาเอกราช ส่วนทางสหรัฐฯพยายามใช้ไต้หวันในการควบคุมจีน และหนุนหลังให้กิจกรรมการแบ่งแยกไต้หวันออกจากประเทศจีน.