ผมเพิ่งได้รับข้อมูลชุดหนึ่งเกี่ยวกับผู้ต้องขังในเรือนจำ อยากนำมาเล่าสู่กันฟัง และหวังว่าข้อมูลนี้จะไปถึง นายกฯบิ๊กตู่ คุณวิษณุ เครืองาม รองนายกฯด้านกฎหมาย และ คุณสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม เพื่อหาทางแก้ไขไม่ให้คุกทั่วประเทศเกิดวิกฤติในอนาคต ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจาก มติ ครม.วันที่ 12 เม.ย.65 ที่ให้ความเห็นชอบหลักการเรื่องการอภัยโทษแก่ผู้ต้องขังบางประเภท (คดียาเสพติดคดีอุกฉกรรจ์ คดีสะเทือนขวัญ และคดีทุจริต) จะต้องเป็นผู้ที่ได้รับโทษมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 หรือ 8 ปี จึงเข้าสู่ขั้นตอนการอภัยโทษได้หากมีการออกกฎหมายรองรับมติ ครม.ดังกล่าวเมื่อไหร่ จะนำไปสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชนของผู้ต้องขังเกี่ยวกับพื้นที่นอน และสิทธิความเป็นคนทันทีเรือนจำตามมาตรฐานสากล เช่น ยุโรปกำหนดมาตรฐานพื้นที่สำหรับผู้ต้องขัง กรณีขังเดี่ยว ห้องควบคุมต้องมีพื้นที่รวมสุขภัณฑ์ไม่น้อยกว่า 6 ตร.ม. ส่วน กรณีขังรวม ผู้ต้องขังแต่ละคนต้องมีพื้นที่ในห้องควบคุมซึ่งมีสุขภัณฑ์ที่มีฉากกั้นไม่น้อยกว่าคนละ 4 ตร.ม.ส่วนเรือนจำไทย ข้อมูล ณ วันที่ 14 ธ.ค.63 เรือนจำทั้งประเทศมีพื้นที่นอน 358,992 ตร.ม. แบ่งเป็นพื้นที่นอนสำหรับผู้ต้องขังชาย 307,278 ตร.ม. และผู้ต้องขังหญิง 51,714 ตร.ม. ขณะที่สถิติ ณ วันที่ 1 เม.ย.65 ผู้ต้องขังมีทั้งสิ้น 264,325 คน เท่ากับ ผู้ต้องขัง 1 คน มีพื้นที่นอนแค่ 1.35 ตร.ม. ต่ำกว่ามาตรฐานสากลหลายเท่ายิ่งถ้าเป็นห้องขังรวม มีผู้ต้องขังจำนวนมาก แต่มี ส้วมแค่โถเดียว (เรื่องจริงที่คนนอกไม่รู้) ทำให้ผู้ต้องขังที่ตามกฎต้องอยู่บนเรือนนอนตั้งแต่ 15.00-07.00 น. รวม 16 ชั่วโมง ต้องแย่งกันใช้ส้วมที่มีโถเดียว และตอนนอนก็ไม่สามารถนอนหงายเหยียดขาได้ ต้องนอนตะแคงสลับฟันปลา กลางคืนใครลุกไปเข้าห้องน้ำกลับมาก็ไม่มีที่นอนแล้ว เพราะเพื่อนข้างๆที่นอนตะแคงจะพลิกตัวนอนหงายทับที่ทันที จึงเกิดความตึงเครียดวิวาทในเรือนนอนบ่อยครั้งทีนี้มาดูตัวเลขการรับตัวและปล่อยตัวผู้ต้องขังในแต่ละปีบ้าง ปี 2560 รับผู้ต้องขังเข้า 220,075 คน ปล่อยตัวออก 206,204 คน ปี 2561 รับเข้า 227,114 คน ปล่อยตัว 176,421 คน ปี 2562 รับเข้า 221,022 คน ปล่อยตัว 222,356 คน ปี 2563 รับเข้า 209,408 คน ปล่อยตัว 215,602 คน ปี 2564 รับเข้า 172,030 คน ปล่อยตัว 246,709 คน จะเห็นว่าบางปีรับเข้ามากกว่าปล่อยตัว บางปีปล่อยตัวมากกว่ารับเข้า แต่ถือว่าใกล้เคียงกันด้วยพื้นที่จำกัดคนละ 1.35 ตร.ม. ถ้ากำหนดให้ผู้ต้องขังบางประเภทต้องได้รับโทษไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 หรือ 8 ปี จึงจะได้รับการพระราชทานอภัยโทษ จะทำให้ไม่เหลือพื้นที่นอนให้ผู้ต้องขัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ต้องขังคดียาเสพติดที่มีประมาณ 80% เท่ากับแต่ละปีจะมีผู้ต้องขังคดียาเสพติดเข้าใหม่ถึง 160,000 คนลองคิดตัวเลขล่วงหน้า ปี 2566 จะมีผู้ต้องขัง 424,325 (264,325 +160,000) คน พื้นที่นอนในเรือนจำมีเท่าเดิม 358,992 ตร.ม. เฉลี่ยมีพื้นที่นอนคนละ 0.84 ตร.ม. ปี 2567 จะมีผู้ต้องขัง 584,325 (424,325+ 160,000) พื้นที่นอนเท่าเดิม เหลือพื้นที่นอนเฉลี่ยคนละ 0.61 ตร.ม. ปี 2568 จะมีผู้ต้องขัง 744,352 (584,325+160,000) คน พื้นที่นอนเท่าเดิม เฉลี่ยพื้นที่นอนคนละ 0.48 ตร.ม.อย่าว่าแต่นอนเลย ยืนยังแทบจะยืนไม่ได้ รับรองคุกแตกทั่วประเทศเกิดจลาจลแน่นอนการมีพระราชทานอภัยโทษทำให้เกิดความสงบในเรือนจำ ทำให้ผู้ต้องขังมีความหวัง มีความอดทนอดกลั้น เพราะถ้ามีเรื่องทะเลาะวิวาทจะทำให้ไม่ได้รับการพระราชทานอภัยโทษ เจ้าหน้าที่เรือนจำก็ควบคุมดูแลได้ง่ายนอกจากนี้ การพิจารณาให้รางวัลแก่การทำคุณงามความดี หรือลงโทษผู้ต้องขังที่ทำผิดวินัย จะต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ตั้งแต่วันที่ผู้ต้องขังถูกนำตัวมาควบคุม โดยไม่คำนึงว่าผู้ต้องขังดังกล่าวถูกพิพากษาลงโทษในความผิดฐานใด เพราะผู้ต้องขังทุกคนจะต้องอยู่ในระเบียบวินัยของเรือนจำเหมือนกันหมด ดังนั้น การที่ ครม.กำหนดเงื่อนไขใหม่ว่าต้องได้รับโทษไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 หรือ 8 ปีก่อน ถึงจะได้รับพิจารณาอภัยโทษ จึงไม่มีฐานกฎหมายรองรับ ทั้งยัง ขัดนิติประเพณี ที่กรมราชทัณฑ์ปฏิบัติกับผู้ต้องขังโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติอย่ารอให้เกิดสถานการณ์โกลาหลเลย ทบทวนมติ ครม.ใหม่เถอะครับ.ลมกรด