สธ.กำหนดนิยามโรคฝีดาษลิงชี้ 2 จุดสังเกต บวกประวัติการเดินทาง ขณะเดียวกัน พบชาวต่างชาติ 1 คน ติดเชื้อ แวะพักเครื่องที่ไทย 2 ชม. สั่งเฝ้าระวังผู้สัมผัสใกล้ชิด 12 คน ทั้งผู้โดยสารและลูกเรือ ครบ 7 วันยังไม่มีอาการ ส่วนผู้ป่วยต้องสงสัย 3 คนแรก มาเรียนมวยไทยที่ภูเก็ต ยันติดเชื้อเริมผิวหนัง พบชาวต่างชาติในยิมเดียวกันอีก 2 คนติดเชื้อด้วย แนะผู้ประกอบการหมั่นทำความสะอาดอุปกรณ์ ย้ำโรคฝีดาษลิงไม่ใช่โรคติดต่ออันตราย แต่เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง ส่วนโควิด-19 ไทยอยู่ในเกณฑ์ดี เล็งปรับการรายงาน-ลดการเตือนภัยจากระดับ 3 เหลือระดับ 2 แนะกลุ่ม 608 รีบฉีดวัคซีน รับการผ่อนคลายมาตรการที่เพิ่มขึ้นโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด-19) ยังไม่ทันจางดี โรคฝีดาษลิงก็เข้ามาสร้างความหวั่นวิตกให้กับคนในสังคมต่อทันที โดยเมื่อวันที่ 30 พ.ค. ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผอ.กองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค เปิดเผยถึงสถาน การณ์การเฝ้าระวังฝีดาษลิงในไทยว่า กรมควบคุมโรค ได้กำหนดนิยามผู้ป่วยสงสัยโรคฝีดาษลิง ว่า จะต้องมีอาการดังนี้ 1.ประวัติไข้มากกว่า 38 องศาเซลเซียส ร่วมกับอาการป่วยอย่างน้อย 1 อย่างคือ เจ็บคอ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดหลัง ต่อมน้ำเหลืองโต หรือ 2.ผื่น ตุ่มนูน ส่วนใหญ่ผื่นกระจายตามใบหน้า ลำตัว โดยเริ่มจากเป็นผื่นก่อน แล้วเป็นตุ่มนูน ตุ่มน้ำใส ตุ่มหนอง ตุ่มตกสะเก็ด ตามลำดับ ร่วมกับประวัติเชื่อมโยงทางระบาดวิทยา ภายใน 21 วันที่ผ่านมา ได้แก่ ประวัติเดินทางกลับมาจากประเทศที่มีรายงานการระบาดของโรคฝีดาษลิง ประวัติการเข้าร่วมกิจกรรม ที่พบผู้ป่วยฝีดาษลิง และประวัติสัมผัสใกล้ชิดสัตว์ป่า สัตว์ฟันแทะ ลิง หรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่นำเข้าจากทวีปแอฟริกานพ.จักรรัฐกล่าวอีกว่า สำหรับลิงในประเทศไทย หรือสัตว์เลี้ยงตามบ้าน ที่ไม่มีการสัมผัสใกล้ชิดกับสัตว์จากแอฟริกา ยังถือว่าไม่ใช่มีความเชื่อมโยงทางระบาดวิทยา ดังนั้น การให้อาหารลิงและอาหารสัตว์ตามสถานที่ต่างๆยังทำได้ตามปกติ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมีการตรวจคัดกรองสัตว์ที่นำเข้าจากประเทศแอฟริกา จึงอยากให้ทุกคนมั่นใจในการชมสัตว์ในสวนสัตว์ต่างๆว่ายังมี ความปลอดภัย ส่วนผู้ป่วยฝีดาษลิงที่มีผลยืนยัน การตรวจเชื้อจากห้องปฏิบัติการ ซึ่งเข้ารับการรักษาและพิจารณาแยกกัก 21 วัน นับจากวันเริ่มป่วยนอกจากนี้ นพ.จักรรัฐกล่าวยืนยันว่า ขณะนี้ ไทยยังไม่พบผู้ป่วยฝีดาษลิง แต่จากการเฝ้าระวังที่สนามบิน มีรายงานชาวต่างชาติ 1 คน เดินทางมาจาก ประเทศในยุโรป ปลายทางที่ประเทศออสเตรเลีย และได้รับการยืนยันโรคที่ประเทศออสเตรเลีย โดยมี การแวะพักเครื่องในไทย 2 ชั่วโมง แต่นั่งรอในเครื่องบิน ที่นั่งชั้นธุรกิจ มีการเว้นระยะห่างพอสมควร หลังที่ได้ รับทราบรายงาน ก็มีการติดตามผู้สัมผัสใกล้ชิด เป็นผู้โดยสารและลูกเรือ รวม 12 คน โดยทั้งหมดแม้จะ เป็นผู้สัมผัสใกล้ชิด แต่ไม่ใช่ผู้สัมผัสเสี่ยงสูง เพราะผู้ป่วยรายนี้เมื่ออยู่บนเครื่องบินยังไม่มีอาการ ทางกรม ได้ติดตามอาการมาแล้ว 7 วัน ยังไม่มีอาการป่วยใดๆ ซึ่งจะติดตามอาการอย่างต่อเนื่องจนครบ 21 วันส่วนกรณีชาวต่างชาติ 3 คน จาก จ.ภูเก็ต ที่มี อาการน่าสงสัยนั้น นพ.จักรรัฐกล่าวว่า ชาวต่างชาติกลุ่มนี้เป็นพี่น้องกัน เดินทางมาจากประเทศไอร์แลนด์ ซึ่งเป็นประเทศที่มีความเสี่ยง บินตรงไปที่ จ.ภูเก็ต เพื่อเรียนมวยไทย ตั้งแต่ต้นเดือน พ.ค.2565 ต่อมามีอาการไข้ ผื่น ตุ่มนูน ซึ่งเป็นอาการที่เข้าได้กับนิยาม ของผู้ป่วยสงสัยของฝีดาษลิง ระยะแรกรักษาตัวที่ จ.ภูเก็ต ตรวจหาเชื้อโรคเริม แต่ไม่พบ ต่อมาบินมา รักษาตัวที่โรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพฯ วันที่ 25 พ.ค.2565 และทางโรงพยาบาลได้รายงานมาที่กรม จึงขอให้ทั้ง 3 คน มารักษาตัวที่โรงพยาบาล บำราศนราดูร และส่งเชื้อเข้าตรวจที่กรมวิทยาศาสตร์ ผลปรากฏว่า เป็นโรคเริม ชนิดที่ 1 ที่ติดต่อกันทาง ผิวหนัง มีปัจจัยเสี่ยงจากการใช้อุปกรณ์ชกมวยกระสอบ ทรายร่วมกับผู้มีผื่นก่อนหน้านี้ในยิมเดียวกัน โดยทั้ง 3 คน เป็นพี่น้องที่คลุกคลีใกล้ชิดกันตลอดเวลา และยืนยันว่าไม่ได้มีประวัติร่วมกิจกรรมกับผู้ป่วยฝีดาษลิง ที่ไอร์แลนด์ หรือกิจกรรมที่มีรายงานพบผู้ป่วยฝีดาษลิง และจากการค้นหาผู้ป่วยเพิ่มเติม พบชาวต่างชาติอีก 2 คนในยิมเดียวกัน ตรวจหาเชื้อก็เป็นโรคเริมเช่นเดียวกัน ซึ่งต้องขอความร่วมมือสถานประกอบการทำความสะอาดอุปกรณ์ที่มีคนใช้ร่วมกันมากๆให้บ่อยขึ้นนพ.จักรรัฐกล่าวอีกว่า โรคฝีดาษลิงไม่ใช่โรค ติดต่ออันตราย แต่จัดเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง เหมือนโรคไข้เลือดออก โรคสุกใส และเนื่องจากเป็น โรคใหม่ของประเทศไทย แพทย์ส่วนใหญ่ยังไม่เคยเห็น ของจริง อาจเคยเห็นแค่ในภาพ จึงได้กำชับแพทย์ในโรงพยาบาลต่างๆ หากพบผู้ป่วยที่มีอาการเข้าข่ายกับโรคฝีดาษลิง และมีประวัติเดินทางจากประเทศเสี่ยง ก็ให้สงสัยไว้ก่อนว่าเป็นโรคฝีดาษลิง เพื่อนำเข้าสู่กระบวนการสอบสวนโรคต่อไป ส่วนสถานการณ์ฝีดาษลิงทั่วโลก ข้อมูลวันที่ 29 พ.ค. พบผู้ป่วยยืนยัน 406 คน ผู้ป่วยสงสัย 88 คน รวม 494 คน ใน 32 ประเทศ โดยพบเพิ่ม 5 ประเทศ ได้แก่ เม็กซิโก เอกวาดอร์ ไอร์แลนด์ มอลตา ปากีสถาน ประเทศละ 1 คนส่วนสถานการณ์โรคโควิด-19 ของไทย นพ.จักรรัฐกล่าวว่า จำนวนผู้ป่วยปอดอักเสบและผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจลดลงอย่างต่อเนื่อง วันที่ 30 พ.ค. ผู้ป่วยปอดอักเสบจำนวน 882 คน ผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจ 425 คน ส่วนผู้เสียชีวิต 26 คน ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอายุ 70 ปีขึ้นไป ที่ครึ่งหนึ่งยังไม่ได้รับวัคซีนแม้แต่เข็มเดียว จึงต้องเร่งรณรงค์กลุ่ม 608 มารับวัคซีนทั้งเข็มที่ 1 เข็ม 2 และเข็มกระตุ้น ส่วนผู้ติดเชื้อรายใหม่ยังทรงๆอยู่ที่จำนวน 3,854 คน ซึ่งลดลงอย่างช้าๆ ระดับการเตือนภัยโควิดอยู่ ที่ระดับ 3 ทั่วประเทศ และอยู่ระหว่างการพิจารณาปรับลดการเตือนภัยเหลือระดับ 2 ทั้งนี้ ภาพรวมสถานการณ์ของประเทศต่ำกว่าที่กระทรวงสาธารณสุขคาดไว้ ถือว่าสถานการณ์อยู่ในเกณฑ์ที่ดี “เนื่องจากการติดเชื้อที่เริ่มลดลง และตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย.จะเข้าสู่ระยะที่เริ่มการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ กระทรวงสาธารณสุขจึงมีแผนการปรับระบบการรายงานสถานการณ์โควิด-19 ของไทย จากรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อรายวัน ปรับเป็นการรายงานจำนวนผู้ป่วยที่มีอาการและเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล กลุ่มผู้ป่วยอาการหนัก กลุ่มผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจ และผู้เสียชีวิต และอัตราการครองเตียงกลุ่มผู้ป่วยเหลืองและแดง” นพ.จักรรัฐกล่าวและว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย.เป็นต้นไป ที่ผ่อนคลายมาตรการให้สามารถเปิดผับ บาร์ คาราโอเกะแล้ว พนักงานสถานบริการต่างๆต้องรับวัคซีนเข็มกระตุ้น และจำเป็นต้องตรวจ ATK เป็นประจำทุกสัปดาห์ ส่วนผู้ที่เข้าไปรับบริการควรฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นแล้ว นอกจากนี้ยังแนะนำให้ผู้ที่ดูแลผู้สูงอายุ ผู้ดูแลเด็ก เล็ก ควรตรวจ ATK เป็นประจำทุกสัปดาห์เช่นกันทั้งนี้ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 หรือ ศบค. แถลงเมื่อวันที่ 30 พ.ค. ว่าพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 3,854 คน เป็นการติดเชื้อในประเทศ 3,852 คน จากเรือนจำ 2 คน หายป่วยเพิ่ม 6,031 คน อยู่ระหว่างรักษา 42,534 คน อาการหนัก 882 คน ใส่ท่อช่วยหายใจ 425 คน เสียชีวิตเพิ่ม 26 คน อายุ 22-93 ปี เป็นชาย 13 คน หญิง 13 คน ผู้เสียชีวิตที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป 18 คน มีโรคเรื้อรัง 7 คน ไม่มีโรคเรื้อรัง 1 คน มียอดผู้ติดเชื้อสะสมยืนยัน 4,446,502 คน ยอดหายป่วยสะสม 4,373,970 คน ยอดผู้เสียชีวิตสะสม 29,998 คน สำหรับ 10 จังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อยืนยันสูงสุด ได้แก่ กทม. 1,655 คน ขอนแก่น 101 คน บุรีรัมย์ 94 คน กาฬสินธุ์ 84 คน สมุทรสาคร 82 คน ชลบุรี 79 คน สมุทรปราการ 76 คน สุรินทร์ 70 คน นครพนม 68 คน และสุพรรณบุรี 67 คน ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่ายังมีเฉพาะ กทม.ที่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ทะลุหลักพัน ขณะที่เกินร้อยคนมี 1 จังหวัด และอีก 8 จังหวัด พบผู้ติดเชื้อต่ำร้อยคนแล้วส่วนสถานประกอบการที่ได้รับอานิสงส์จากมติ ศบค.ที่ให้สถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ ฯลฯ เปิดบริการได้แล้วในวันที่ 1 มิ.ย.นี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ร้านเทนคาราโอเกะ อ.เมืองเชียงใหม่ พนักงานของร้านเข้ามาร่วมกันทำความสะอาดใช้น้ำยาฆ่าเชื้อเช็ดทุกจุดในร้านทั้งไมโครโฟน โซฟา และอุปกรณ์ทุกชิ้น พร้อมกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้ง หลังหยุดยาวกว่า 1 ปี สร้างความดีใจให้กับพนักงานทุกตำแหน่งที่จะได้กลับมาทำงานมีรายได้กันอีกครั้ง ด้านนายชิงชัย กาพวง ผู้จัดการร้าน ยังบอกด้วยว่า ทางร้านได้ทำระบบการระบายอากาศใหม่ทั้งหมด เพื่อให้ระบายอากาศได้ตามมาตรฐาน Thai Stop Covid 2 Plus ที่ทางร้านตัดสินใจลงทุนก็หวังว่า ธุรกิจสถานบันเทิงยามค่ำคืนในจังหวัดเชียงใหม่จะกลับมาคึกคักในเร็ววันนี้วันเดียวกันองค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศอย่างเป็นทางการให้โรคฝีดาษลิงมีความเสี่ยงทางด้านสาธารณสุขโลกในระดับปานกลาง หลังข้อมูลถึงวันที่ 26 พ.ค. พบผู้ติดเชื้อที่ได้รับการยืนยัน 257 คน ต้องสงสัยติดเชื้อ 120 คน รวมติดเชื้อและผู้เข้าข่ายทั้งหมด 377 คน ใน 23 ประเทศ ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตและจากการประเมินสถานการณ์จำนวนผู้ติดเชื้อดังกล่าว แสดงว่ามีการระบาดเงียบๆ มาสักระยะหนึ่งแล้ว องค์การอนามัยโลกยังเตือนด้วยว่า จะพบผู้ติดเชื้อในประเทศต่างๆเพิ่มขึ้นอีก และมีความเป็นไปได้ที่ความเสี่ยงจะกลายเป็นระดับสูง หากเกิดการแพร่ระบาดในเด็กเล็ก หรือประชากรกลุ่มเสี่ยงผู้ที่เป็นโรคเรื้อรังหรือภูมิคุ้มกันบกพร่อง ขณะที่ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐ อเมริกายกระดับคำเตือนด้านการเดินทางในพื้นที่การแพร่ระบาดของฝีดาษลิง ทั้งอเมริกาเหนือ ยุโรป และออสเตรเลีย เป็นระดับ 2 จากทั้งหมด 3 ระดับ