จลาจลนองเลือดที่เกิดจากวิกฤติเศรษฐกิจข้าวยากหมากแพง กลายเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นที่ศรีลังกา ประเทศที่ตั้งอยู่บนเกาะ มีประชากรกว่า 20 ล้านคน และเคยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับไทยในด้านพระพุทธศาสนา มีการชุมนุมขับไล่รัฐบาลมาตั้งแต่เดือนเมษายน แต่รุนแรงถึงนองเลือด บาดเจ็บล้มตายนับร้อย เมื่อวันจันทร์ต้องถือว่าเป็นจลาจลข้าวยากหมากแพงโดยแท้ เพราะศรีลังกาประสบวิกฤติเศรษฐกิจร้ายแรงที่สุด นับตั้งแต่ได้รับเอกราชจากอังกฤษ เมื่อปี 2491 ขาดแคลนทุกอย่าง ทั้งข้าวปลาอาหาร นํ้ามัน นํ้าประปา ยารักษาโรค แม้จะมีเงินก็หาซื้อไม่ได้ เพราะรัฐบาลเป็นหนี้ล้นพ้นตัว ไม่มีเงินนำเข้าสินค้าจำเป็นจากต่างประเทศการปกครองของศรีลังกา แม้จะถือว่าเป็นประชาธิปไตย แต่เป็นประชาธิปไตยแบบอุปถัมภ์ เป็นการเมืองระบบครอบครัว ภายใต้การนำของตระกูล “ราชปักษา” พี่ชายคนโตเป็นประธานาธิบดี น้องชายคนรองเป็นนายกรัฐมนตรี คนเล็กเป็นรัฐมนตรีคลัง จึงมีการชุมนุมขับไล่ แม้นายกฯจะลาออกก็ไม่พอ ต้องโค่นประธานาธิบดีผู้เชี่ยวชาญระบุว่าสาเหตุสำคัญ ทำให้เศรษฐกิจศรีลังกาพัง คือหนี้ภาครัฐหรือหนี้สาธารณะ รัฐบาลกู้เงินจากต่างประเทศ เกินความสามารถที่จะใช้หนี้เจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดคือประเทศจีน ให้ศรีลังกากู้แบบไม่อั้น หนี้ก้อนใหญ่ที่สุดคือการก่อสร้างท่าเรือขนาดใหญ่ แต่สร้างเสร็จแล้วไม่มีรายได้ เพราะไม่มีเรือใช้บริการ ถือว่าเจ๊งพูดถึง “หนี้” ก็ต้องนึกถึงประเทศไทย เพราะเราก็เป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีหนี้ล้นพ้น แต่อาจเป็นหนี้ที่ต่างจากศรีลังกา หนี้ที่เป็นปัญหาใหญ่สุดของไทยคือ “หนี้ครัวเรือน” เป็นหนี้ภาคประชาชน ส่วนศรีลังกาเป็น “หนี้สาธารณะ” ภาครัฐเป็นหนี้ล้นพ้นตัวแทบล้มละลาย แต่หนี้ภาครัฐของไทยก็ไม่ได้น้อยหน้านายกรัฐมนตรีไทยคนปัจจุบัน ถูกฝ่ายค้านขนานนามว่า “นักกู้แห่งลุ่มนํ้าเจ้าพระยา” กู้มาแล้วเป็นเงินมหาศาล จนอาจต้องขยายเพดานเงินกู้ ส่วนหนี้ครัวเรือนไทยเมื่อปลายปี 2563 อยู่ที่ 89.3% ของจีดีพี คิดเป็นมูลค่ากว่า 14 ล้านล้านบาท สูงสุดใน 18 ปี ถึงปลายปี 2564 พุ่งขึ้นอีกเป็น 90.1% ของจีดีพีรัฐบาลจึงต้องประกาศให้ปี 2565 เป็น “ปีแห่งการแก้หนี้ครัวเรือน” ยิ่งกว่านั้น ปัญหาหนี้ยังถูกซ้ำเติมด้วยปัญหาการว่างงาน รายงานของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ ระบุว่าเมื่อดูด้านการศึกษา พบว่าผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรี มีอัตราว่างงานสูง ส่วนใหญ่จบการศึกษาด้านสังคมศาสตร์.