วนเวียนเป็นเหตุร้ายซํ้าซาก “รับน้องโหดจนเสียชีวิต” โศกนาฏกรรมที่ไม่ควรเกิดแก่ผู้ได้ชื่อว่าเป็น “ปัญญาชน” แต่ก็มีข่าวเกิดขึ้นให้เห็นกันทุกปี ทำเอาหัวอกคนเป็นพ่อแม่ใจแทบสลายต้องสูญเสียบุตรหลานอันเป็นที่รักเพราะไม่คาดคิดว่า “การส่งลูกเข้าเรียนในมหา’ลัย” แล้วจะต้องจบชีวิตลงเช่นนี้แม้ที่ผ่านมา “สถานศึกษามีนโยบายห้ามรับน้อง” แต่เลี่ยงจัดกันนอกสถานที่ “ครูบาอาจารย์ก็ทำปากว่าตาขยิบ?” แล้วระหว่างจัดกิจกรรมมักมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากระตุ้นความฮึกเหิมลำพองตัวจนมี “น้องใหม่ไม่น้อยต้องบาดเจ็บ หรือถูกละเมิดอนาจาร” สะเทือนใจสังคมทุกครั้งเมื่อมีเหตุนี้ในกิจกรรมรับน้องใหม่ ผลตามมาคือ “นักศึกษารุ่นพี่” ถูกตราหน้าเป็นผู้ทำเกินกว่าเหตุรับโทษจากสถานศึกษาแล้วยังถูกดำเนินคดีความผิดตามกฎหมาย “เสียอนาคต” แน่นอนว่า “สถานศึกษามักปฏิเสธ” จากข้ออ้างนักศึกษาจัดกันเอง นอกสถานที่ นอกขอบเขตข้อบังคับแล้ว “หลุดพ้นความรับผิดชอบ” จนกลาย เป็นปัญหาถูกซุกไว้มาตลอดทั้งที่จริงแล้ว “การรับน้องใช้ความรุนแรง หรือการละเมิดอนาจาร” ในทางกฎหมายเป็นการกระทำขัดต่อศีลธรรม หรือความสงบสุขสังคม “อาจารย์ และสถาบัน” ปล่อยปละละเลยต้องร่วมรับผิดชอบด้วยหรือไม่ในแง่มุมกฎหมายปัญหานี้ ภูดิท โทณผลิน ทนายความสมาคมนักกฎหมายคุ้มครองสิทธิและสิ่งแวดล้อม มองว่า ภูดิท โทณผลินเหตุการณ์รับน้องนอกสถานที่แล้ว “ใช้ความรุนแรงนำสู่นักศึกษาบาดเจ็บ หรือคนเสียชีวิตนั้น” สามารถเข้าข่ายความผิดทางอาญา 2 แนวทาง คือ แนวทางคดีแรก...“ทำร้ายร่างกาย” อันเกิดการบังคับผู้อื่นให้ฝืนใจทำบางอย่างที่ไม่ได้มีความเต็มใจ โดยอาจมีการใช้กำลังประทุษร้ายเป็นเหตุ ให้ผู้อื่นบาดเจ็บสาหัส หรือเสียชีวิตความผิดนี้ “มีทั้งโทษจำคุก หรือโทษปรับ” รุ่นพี่ร่วมกันกระทำ ต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายแนวทางคดีที่สอง... “เจตนาฆ่า” กรณีนี้เกิดได้ตามหลัก “ประสงค์ต่อผล หรือเล็งเห็นผล” เช่น รุ่นพี่บังคับกดน้ำรุ่นน้องเสียชีวิต แม้ไม่มีเจตนา ทำให้ตายก็เล็งเห็นผลว่า การกดน้ำมีโอกาสขาดอากาศหายใจได้เสมออันเป็น “พฤติการณ์ลักษณะเจตนาย่อมเล็งเห็นผลตาม ป.อ.ม.59 วรรคสอง” เป็นการกระทำที่เกิดจากความตั้งใจไม่ได้ต้องการให้เกิดผลถึงตาย แต่ตอนทำนั้นรู้ว่าผลแห่งความตายนั้นจะเกิดขึ้นแน่ๆ แล้วหากรุ่นพี่มีพฤติการณ์ บังคับรุ่นน้องถอดเสื้อผ้าทำกิจกรรมก็จะเป็นความผิดอนาจารเข้ามาร่วมด้วยฉะนั้นแล้ว “การรับน้องไม่เหมาะสม” ในทางคดีอาญาสามารถเข้าหลัก ความผิดหลายข้อแต่ต้องขึ้นอยู่กับพฤติการณ์การกระทำนั้น “บุคคลต้องรับผิดในทางอาญา” ตามกฎหมายระบุคำว่า “ผู้ใดกระทำ” อันหมายถึง กลุ่มคนผู้ก่อเหตุลงมือละเมิดโดยตรง รวมถึงบุคคลให้การสนับสนุนในการร่วมจัดกิจกรรมด้วยเช่น รุ่นพี่ 7 คนช่วยกันมัดทำร้ายรุ่นน้อง แล้ว 5 คนดูต้นทาง อีก 10 คนเชียร์ คนเหล่านี้ต้องร่วมรับผิด ผลตามมาคือ “รุ่นพี่ผู้ก่อเหตุเสียอนาคต” เพราะความผิดฐานกระทำให้ผู้อื่นเสียชีวิต หรือทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับสาหัสนั้น “มีโทษความผิดหนักไม่อาจยอมความได้” กลายเป็นอุปสรรคในการประกอบอาชีพ ถูกตัดโอกาสเข้ารับราชการในอนาคตไม่เท่านั้น “เสียโอกาสเข้าทำงานองค์กรเอกชนขนาดใหญ่” เพราะมักตรวจสอบประวัติทางอาชญากรรมเสมอแล้ว “โทษทางอาญา” ก็เป็นคุณสมบัติต้องห้ามสมัครงานบริษัท ดังนั้น รุ่นพี่ที่ก่อเหตุนอกจากถูกโทษจำคุกที่สูงแล้ว โอกาสรอการลงโทษก็มีน้อย อีกทั้งยังจะเป็นผลเสียต่อการประกอบอาชีพในอนาคตแน่นอนประเด็น “ความผิดทางแพ่ง” ที่เกิดจากกระทำละเมิดกรณีรับน้องอันเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย บาดเจ็บสาหัส หรือถูกละเมิดอนาจาร ล้วนสามารถดำเนินคดีทางแพ่งเรียกค่าเสียหายจากสถาบันการศึกษาในฐานะเป็นนิติบุคคล และครูบาอาจารย์ผู้มีอำนาจควบคุมนักศึกษาผู้ก่อเหตุ ละเมิดแม้จะไม่อยู่ในเหตุการณ์ก็ตามอาศัยบทบัญญัติ ป.แพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเรื่องละเมิด ม.430 ดังนั้น “ผู้ปกครองในฐานะเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตร” สามารถยื่นฟ้องรุ่นพี่ ผู้กระทำละเมิดทุกคนเป็นจำเลยที่ 1 แล้วสามารถฟ้องสถานศึกษา ครูบาอาจารย์ ร่วมรับผิดกับรุ่นพี่เป็นจำเลยที่ 2 หรือจำเลยที่ 3 ตามบทบัญญัติดังกล่าวได้หากว่า “รุ่นพี่ไม่บรรลุนิติภาวะ” ตาม ป.พ.พ.ม.430 เปิดช่องให้ “ผู้ปกครอง” ต้องรับผิดการละเมิดต่อรุ่นน้องก็ได้ เพราะการฟ้องเด็กคงไม่อาจชดเชยความเสียหายได้ กฎหมายจึงให้ผู้ปกครองมาร่วมรับผิดแทนส่วน “ค่าเสียหาย” สามารถเรียกได้ตามความจริง ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษา พยาบาล ค่าทนทุกขเวทนา ค่าปลงศพหากมีการเสียชีวิต ค่าขาดแรงงาน ค่าขาดไร้อุปการะ ในกรณีเสียชีวิตนั้นอาจจะมีค่าเสียหายค่อนข้างสูงถึงหลักล้านบาท เพราะผู้ตายอายุน้อย 17-18 ปีแล้วเข้าเรียนระดับอุดมศึกษามีโอกาสประสบความสำเร็จในชีวิตก็ได้ ปัญหามีอยู่ว่า “ผู้ปกครองรุ่นน้องผู้เสียชีวิต” มักไม่ฟ้องร้องดำเนินคดีทางแพ่งแก่ “สถานศึกษา หรือครูบาอาจารย์” อันเกิดจากความรู้สึกท้อแท้กระบวนการดำเนินคดีที่มีระยะเวลาการต่อสู้ในชั้นศาลค่อนข้างนาน แล้วผู้เสียหายต้องมีหน้าที่นำสืบให้ได้ว่า “สถาบันการศึกษา หรือครูบาอาจารย์” มีหน้าที่ต้องรับผิดเช่นใดเรื่องนี้แนะนำว่า “ข้อความสื่อสารผ่านโลกโซเชียลฯ” อันเกี่ยวกับ การรับน้องก่อนจัดกิจกรรมที่โพสต์ตามเฟซบุ๊กสถาบันล้วนเป็นการแจ้งให้รับทราบ ทางอ้อมแล้ว โดยเฉพาะไลน์กลุ่มห้องเรียนที่มีอาจารย์ที่ปรึกษาร่วมอยู่ในกลุ่มนี้ ที่มักต้องมีการพูดคุยกิจกรรมรับน้องกัน สิ่งนี้จะเป็นพยานหลักฐานไม่อาจจะปฏิเสธได้เพราะตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ 2544 เปิดช่อง ไว้ว่า “ไม่ให้ปฏิเสธการรับฟังพยานหลักฐานผ่านข้อความอิเล็กทรอนิกส์” นั้นหมายความว่า “นักศึกษา หรือผู้ปกครอง” แจ้งเรื่องการรับน้องผ่านช่องทาง สื่ออิเล็กทรอนิกส์ของสถาบันจะเป็นรูปแบบใดก็ตาม ในการจัดกิจกรรมรับน้อง ในวัน เวลา สถานที่ใดนี้ มองว่าเท่านี้ก็น่าจะเพียงพอ “ครบองค์ประกอบในหลักการรับฟังเป็นพยานหลักฐาน” ตามหลักเงื่อนไข “โจทก์นำสืบเพียงให้เห็นว่าสถานบันเทิงมีเขตอำนาจต้องรับผิดนั้น” ก็นำเป็นข้อต่อสู้ให้สถาบัน หรืออาจารย์เข้ามาร่วมรับผิดชดเชยค่าเสียหายกรณีเกิดการสูญเสียจากกิจกรรมรับน้องนอกสถาบันการศึกษาก็ได้แม้ว่า “สถาบัน หรืออาจารย์” จะปฏิเสธแล้วสืบแก้ว่า “มีความระมัด ระวังป้องกันตักเตือนเต็มที่” เช่น การแจ้งเตือนด้วยวาจาแต่ไม่ดำเนินการใดๆ เท่านี้ไม่เพียงพอต่อการใช้ความระมัดระวังอันเป็นที่สุดได้ดังนั้น “นักศึกษาน้องใหม่” อาจต้องใจกล้าพูดคุยสื่อสารผ่านช่องทาง อิเล็กทรอนิกส์สะท้อนให้สถาบันการศึกษารับทราบเบื้องต้น เพื่อนำสู่การ ปรามรุ่นพี่ที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะต่อรุ่นน้อง ย้ำต่อว่า “กฎหมาย ป.พ.พ.ม.430” แม้มีช่องทางข้อต่อสู้ให้สถานศึกษา หรือครูบาอาจารย์พิสูจน์ได้ว่า “ตนเองใช้ความระมัดระวังตามสมควรก็ตาม” แต่ก็เชื่อว่าการยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งนี้ค่อนข้างยุ่งยากในการแก้ต่าง และมีค่าใช้จ่ายดำเนินคดีสูงพอสมควรถ้าแก้ต่างไม่ได้มีโอกาสร่วมรับผิดทางแพ่งให้ผู้ปกครองผู้เสียชีวิต เป็นเม็ดเงินสูง ผลลัพธ์ตามมาก็คือ “สถาบันจะมีมาตรการเฝ้าระวังป้องกันการรับน้องเข้มงวด” ไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมอีกแน่นอนทิ้งท้ายไว้ว่า “กิจกรรมรับน้องมิใช่เงื่อนไขสู่การเรียนประสบความสำเร็จ” แต่เป็นประเพณีสานความสัมพันธ์รุ่นพี่ต่อรุ่นน้องสามารถจัดกิจกรรมแบบสร้างสรรค์ ก็ได้ ด้วยการช่วยเหลือแนะนำดูแลการเรียนให้รุ่นน้องประสบความสำเร็จเท่านี้เมื่อ “เรียนจบ” จะช่วยให้เกิดคอนเนกชันต่อกันในอนาคตดีกว่าการรับน้องแบบผิดๆอยากสะท้อนถึง “สถาบันการศึกษา ครูบาอาจารย์” ต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตาป้องกันมิให้เกิดการรับน้องที่ใช้ความรุนแรงด้วย “การแซงก์ชันรุ่นพี่ที่จัดกิจกรรมรับน้อง” เพราะถ้ามีเหตุร้ายย่อมส่งผลให้สถาบันอาจเสียชื่อเสียง และแถมต้องมารับผิดชอบในคดีทางแพ่งชดเชยค่าเสียหายหลายล้านบาทด้วยซ้ำ สิ่งนี้คือการนำกฎหมายที่มีอยู่มาใช้ให้ครูบาอาจารย์ หรือสถานศึกษา มีมาตรการเข้มงวดกวดขันดูแลเอาใจใส่ป้องกันปราบปรามกิจกรรม รับน้องไม่เหมาะสม เพื่อมิให้รุ่นน้องต้องมาสังเวยชีวิตอีก.