ครั้งหนึ่งนานเต็มที ผมเคยถูกคนกระทรวงใหญ่เลือกไปคุยถึงการใช้สื่อหนังสือพิมพ์ พิธีกรไม่กล้าเล่าประวัติ...บอกสั้นๆ ว่าเป็นสายเลือดมหาดไทย...ด้วยเพราะเกิดเป็นลูกผู้ใหญ่บ้านรู้ตอนนั้น คนเชิญเขาอาย...ที่เอาคนไม่มีดีกรี ดร.นำหน้ามาพูดงานใหญ่นับแต่นั้น หากมีคนชวนไปพูดขอประวัติ...ผมก็บอกว่าขอเล่าเอง...เมื่อเล่าก็อยากโม้ให้สะใจ ที่เสือกเกิดมาจนแสนจน ตอนเรียนจบ ป.4 ยังไม่เคยมีรองเท้าใส่พอคุยถึงตรงนี้ อ๊ะ! ถ้ามีคนดูข่าวสรพงศ์ ชาตรี ตาย คงจำได้ เหมือนเรื่องที่สรพงศ์เล่าเองเป๊ะเลยผมก็ได้ทีขอคุยต่อ ราวๆปี 2518-2519 ผมเป็นนักข่าวใหม่ๆ ถูกใช้ให้ไปสัมภาษณ์พ่อสรพงศ์ถึงบ้านที่อำเภอมหาราช จังหวัดพระนครศรีอยุธยาตอนนั้นข่าวสรพงศ์มีแฟนสองคนเป็นพาดหัวใหญ่จำภาพได้ จอดรถริมถนนใหญ่ เดินเท้าเข้าไปเกือบกิโลฯ คุยกับพ่อสรพงศ์ ทำนองว่าในฐานะพ่อจะสอนลูกให้อยู่กับสองบ้าน ด้วยดียังไง? งานนักข่าวสมัยโน้นสมัยนี้ ไม่ต่างกันเท่าไหร่ เสือกกับเขาไปเสียทุกเรื่องแต่ประเด็นที่จำฝังใจ ก็คือตอนที่ไปคุยเรื่อง ตอนสรพงศ์บวชเป็นเณร อยู่วัดดาวดึงษ์ ข้างโรงเหล้าบางยี่ขันฝั่งธนฯ เหตุที่รู้เรื่องนี้ เพราะผมเคยเป็นเณรวัดดาวดึงษ์มาก่อนปีที่ผมสอบนักธรรมตรีได้ หลวงปู่โว (พระครูโวทานธรรมาจารย์) มรณภาพ คณะสงฆ์ส่งพระมหาบุศย์ จากวัดในคลองบางกอกใหญ่มาแทน เจ้าอาวาสใหม่เก่งทางการศึกษา ต่อมาวัดดาวดึงษ์ชื่อเสียงโด่งดัง เพราะมีพระเณรสอบเปรียญเก้าได้ปีละหลายๆรูปเพราะท่านเก่งการศึกษาล่ะกระมัง เจ้าเณรที่เริ่มเรียนบาลีไม่เอาไหนอย่างผม จึงขอย้ายหนีไปอยู่วัดบ้านแหลม ใกล้บ้านเกิดที่แม่กลองเหตุที่ย้ายหนี ขืนอยู่ก็คงถูกไล่ เพราะความประพฤติไม่เข้าตาสมภารใหม่ มักหนีเรียนไปมั่วอยู่กับกลุ่มเณรเถรตู้...แอบไปฝึกสวดพระมาลัยยังพอจำลีลาสวดได้บ้าง...เช่น ตอน มิตตวินทุ คนเห็นกงจักรเป็นดอกบัว จึงมีกงจักรอยู่ที่หัว สุ้มเสียงสวด โองโงงโงย ชะ โองเงิ้งเง้ย กงจักร...กงจักร พัดหัวอยู่ตอนเน้นเสียง...กงจักร ก็ต้องปักด้ามตาลปัตรฉึก! ลงพื้นให้เป็นจังหวะนึกย้อนหลัง...มีเรื่องลึกๆที่ต้องเห็นใจพวกเณร...นอกจากมีข้าวจากชาวบ้านใส่บาตรเลี้ยงท้องแล้ว เณรไม่มีกิจนิมนต์สวดงานแต่ง สวดผี ขึ้นบ้านใหม่ ได้ปัจจัย (เงิน) ถวายใส่ย่ามเหมือนพระ พูดง่ายๆเณรอด ไม่มีตังใช้งานสวดพระมาลัย มีเค้าโลดโผน เหมือนสวดคฤหัสถ์ สวดเป็นเพื่อนผี ผมอ่านหนังสือจึงรู้ต่อมาว่า ร.4 ทรงเห็นไม่งามกับความเป็นพระ จึงสั่งห้ามมิน่า! ตอนพวกเณรฝึกซ้อมสวดกัน จึงดูแอบๆซ่อนๆเมื่อผมไปจึงกราบถามท่านสมภาร ตอนนั้นท่านเป็นเจ้าคุณแล้ว ถามเรื่องสรพงศ์ ชาตรีท่านสมภารหัวเราะหึๆ แล้วย้อนถาม “เจ้าเณรชิ้นน่ะหรือ?” แล้วท่านก็พูดยิ้มๆต่อ “ตอนอยู่ไม่ค่อยเรียนหนังสือ ไปหมกอยู่กับพวกสวดพระมาลัย...”ผมต่อความยาวได้ทันที...ที่แท้ เณรชิ้น หรือพระเอกสรพงศ์ ชาตรี เป็นเณรรุ่นน้อง สายวิชาสวดพระมาลัย วัดดาวดึงษ์ สำนักเดียวกัน นับรุ่นหนึ่งสองคงไม่ได้ น่าจะรุ่นหลังสักสี่ห้าปีเป็นอันว่า ต่อไปนี้ผมจะเล่าประวัติใหม่ ขอโม้ให้เป็นหน้าเป็นตา เป็นเณรรุ่นพี่เณรชิ้น พระเอกสรพงศ์ ชาตรี แทนการโม้อ้อมค้อม เคยเรียนสำนักท่าพระจันทร์ แต่เป็นวัดมหาธาตุ ไม่ใช่ธรรมศาสตร์ เคยนั่งรถเมล์สายจุฬาฯสำเหร่ ผ่านจุฬาฯ เพราะเบื่อมุกนี้เต็มที.กิเลน ประลองเชิง