นักวิเคราะห์ความมั่นคงต่างจับตาสถานการณ์ในทะเลจีนใต้อย่างกระชั้นชิด หลังเกิดเหตุเครื่องบินรบอเนกประสงค์รุ่นใหม่ เอฟ-35 ซี ของกองทัพสหรัฐฯ ประสบอุบัติเหตุขณะลงจอดบนเรือบรรทุกเครื่องบิน จนนักบินตัดสินใจดีดตัวสละเครื่อง ทำให้เครื่องดังกล่าวจมลงสู่ก้นทะเล แต่มีความเป็นไปได้ที่ซากเครื่องบินเอฟ-35 ซี อาจตกไปอยู่ในมือประเทศอื่น โดยเฉพาะจีนที่เป็นเจ้าอิทธิพลในพื้นที่ทะเลดังกล่าวทั้งนี้ สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เป็นที่น่าจับตาว่าใครจะสามารถเก็บกู้ซากเอฟ-35 ซีที่จมลงสู่ก้นทะเลเมื่อวันที่ 26 ม.ค.ได้ก่อนกัน และหากจีนได้ไปย่อมหมายความว่าจะสามารถล่วงรู้เทคโนโลยีเครื่องบินรบรุ่นใหม่ที่สหรัฐฯ ปกปิดเป็นความลับมาตลอด โดยเฉพาะระบบสนับสนุนการรบ เชื่อมโยงส่งต่อข้อมูลการรบระหว่างยุทโธปกรณ์ ที่นักวิเคราะห์ความมั่นคงเชื่อว่าจีนยังพัฒนาระบบดังกล่าวไม่เสร็จสมบูรณ์ด้านบริษัท อาบี ออสเทน ที่ปรึกษาทางความมั่นคงในยุโรป มองว่ากองทัพสหรัฐฯเองมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวด ที่จะต้องกู้ซากให้ได้ก่อนใคร เพราะเอฟ-35 ซี คือคอมพิวเตอร์บินได้มีข้อมูลต่างๆเก็บไว้มากมาย ขณะที่กองทัพจีนจะมีความสนใจอย่างยิ่ง ต่อการได้ซากเอฟ-35ซีมาครอบครอง เพราะหากจีนได้ไปก็จะเท่ากับว่าจีนจะรู้เครือข่ายการทำงานของฝูงเรือบรรทุกเครื่องบินสหรัฐฯทั้งหมดอย่างไรก็ตาม จากข้อมูลเบื้องต้นทราบว่า เรือเก็บกู้ซากใต้ทะเลของสหรัฐฯจะเดินทางมาถึงจุดหมายภายในเวลา 10 วัน แต่ปัญหาคือแบตเตอรี่กล่องดำบนเครื่องเอฟ-35ซี อาจหมดพลังไปเสียก่อน และทำให้การค้นหาเป็นไปอย่างยากลำบาก ส่วนวิธีการเก็บกู้นั้น ทีมใต้น้ำจะทำการใส่ถุงลมเข้าไปในซากเครื่อง และทำการพองลมให้เครื่องลอยขึ้นมา ซึ่งปัญหาจะอยู่ที่ตัวเครื่องยังคงสภาพเดิมหรือไม่ หรือปริแตกเป็นท่อนๆนอกจากนี้ นักวิเคราะห์จากกลุ่มที่ปรึกษารัฐบาลสหรัฐฯ ทรูแมน โปรเจกต์ ยังให้ความเห็นว่า ไม่มีข้อกังขาใดๆว่า จีนต้องอยากได้ซากเอฟ-35ซีไปวิเคราะห์ แต่หากดูจากขีดความสามารถในการจารกรรมข้อมูลทางออนไลน์แล้ว เชื่อว่าจีนมีข้อมูลของเครื่องบินดังกล่าวอยู่พอสมควร แต่การเห็นของจริงจะสร้างความเข้าใจได้ง่ายกว่า และสามารถค้นหาจุดอ่อนได้ด้วย นอกจากนี้ ในเครื่องที่จมลงสู่ก้นทะเล ยังติดตั้งอาวุธสำหรับการรบไว้ด้วยเช่นกัน อาจจะเป็นจรวดมิสไซล์หรืออาวุธอื่นๆ ที่เก็บอยู่ในตัวเครื่อง.