นับวันยิ่งแย่ “ราคาหมูพุ่งกระฉูดใกล้เคียงค่าแรงขั้นต่ำต่อวัน” จนกลายเป็นปัญหาระดับชาติ ฉุดให้เนื้อสัตว์ทางเลือกอย่างไก่ ปลา ไข่ และน้ำมันปาล์มพลอยดีดตัวตาม...“ผู้คนแทบไม่มีปัญญาซื้อมาประทังชีวิต” ซ้ำเติมความยากลำบาก “ยุคโควิด-19 ระบาด” เดือดร้อน ทุกหย่อมหญ้าทั่วทั้งแผ่นดินในตอนนี้สาเหตุเป็นที่แน่ชัดแล้วว่ามาจาก “โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร หรือ ASF” ทำให้หมูล้มป่วยตายเป็นเบือทั่วประเทศ “จนขาดตลาดราคาหมูพุ่งสูง” เป็นประวัติการณ์ที่ยังไม่มีท่าทีลดลงโดยง่าย “ประชาชน” ต่างเฝ้ารอความหวังให้ “รัฐบาล” เร่งเข้ามาคลี่คลายปัญหาหมูแพงนี้โดยเร็วเพราะกำลังกระทบ “เป็นลูกโซ่ให้สินค้าอื่นพากันยกโขยงขึ้นราคาตาม” ผลพวงมาจากราคาหมูแพงนี้ที่สร้างความเดือดร้อนแสนสาหัสให้ชาวบ้านรับชะตากรรมแบกรับค่าครองชีพที่ถีบตัวสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่นานมานี้ “คณะเศรษฐศาสตร์และคณะสัตวแพทยศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์” จัดเสวนาหัวข้อ “ทางเลือกทางรอดหมูแพง...ผู้เลี้ยงอยู่รอด ผู้บริโภคอยู่ได้” นำเสนอแนวทางแก้ปัญหาหมูแพงนี้ ดร.สุวรรณา สายรวมญาติ ประจำภาควิชาเศรษฐศาสตร์เกษตรและทรัพยากร คณะเศรษฐศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ บอกว่าหากย้อนดูฐานผลิตหมูในประเทศแล้ว “ข้อมูล สนง.เศรษฐกิจการเกษตร และสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ” ได้มีการประมาณการผลิตหมูในปี 2561 พบว่า กำลังผลิตสูงถึง 22 ล้านตัว และชำแหละเพื่อการบริโภคราว 20 ล้านตัว สะท้อนให้เห็นตัวเลขการผลิตหมูเกินความต้องการบริโภคจนบางส่วนถูกส่งออกต่างประเทศถ้าสังเกตดีๆ ในปี 2559-2561 เป็นช่วงการเกิดโอเว่อร์ซัพพลายความต้องการขายหมูสูง เพราะฟาร์มหมูขนาดใหญ่ขยายฐานการผลิตค่อนข้างเยอะแล้ว “ราคาต้นทุนหน้าฟาร์มอยู่ที่ 60–70 บาท/ก.ก.” ถัดมาในปี 2562-2563 มีอัตราการผลิตดีมากจนเกินกำลังการบริโภคของคนในประเทศด้วยซ้ำ ปีนี้จึงเป็นช่วง “หมูทองการส่งออก” ทั้งแบบหมูมีชีวิตและเนื้อหมูชิ้นส่วนชำแหละแล้วทั้งมีเงื่อนไขการส่งออกมาจาก “โควิด-19 ระบาด” ทำให้ดีมานด์ความต้องการซื้อในประเทศลดลง จังหวะนั้นการส่งออกหมูเป็นหนทางเดียวช่วยชีวิตฟาร์มหมูจนราคาดีดตัวดีขึ้นทำให้มีผลกำไร ทำให้สามารถประคับประคองกันมาได้กระทั่งปี 2564 “เกิดโรคอหิวาต์แอฟริกาในหมู” เริ่มระบาดตั้งแต่กลางปีเป็นต้นมา ทำให้หมูตายมากมายปริมาณหมูลดลงต่อเนื่อง “จนเกิดสภาวะขาดแคลนหมูรุนแรง” แล้วในช่วงการระบาดนี้สิ่งที่เกิดขึ้นตามมา “ฟาร์มเลี้ยงกลัวโรคระบาดจนต้องทำลายหมู” ทำให้มีการเทขายกันนำมาชำแหละเก็บไว้ในสต๊อกค่อนข้างมากดังนั้นในช่วงปีที่แล้วแม้มี “เกิดโรคอหิวาต์แอฟริกาในหมูระบาด” ก็ยังไม่มีการปรับราคาเนื้อหมูเพิ่มขึ้น “สิ่งนี้เป็นปัจจัยช่วยชะลอไม่ให้กระทบต่อผู้บริโภค” กระทั่งไม่นานนี้เนื้อหมูชำแหละใกล้หมดจากสต๊อกลงเรื่อยๆ ทั้งยังเจอปัญหาขาดแคลนหมู ทำให้เริ่มปรากฏการณ์ปรับราคาเนื้อหมูเพิ่มมากขึ้นตามมานี้ ฉะนั้นสถานการณ์ในปี 2565 สนง.เศรษฐกิจการเกษตร ประมาณการ ความต้องการบริโภคเนื้อหมูในประเทศอยู่ที่ 17 ล้านตัว/ปี (ไม่รวมปริมาณการส่งออก) ส่วนอุปทานปริมาณหมูในประเทศลดลงเหลือ 10-12.5 ล้านตัว/ปี นั่นหมายความว่า ถ้าโรคอหิวาต์แอฟริกาในหมูยังมีการระบาดต่อไปเรื่อยๆ “อุปทาน” ก็จะลดลงตามไปด้วยทำให้ไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการบริโภคในประเทศที่ขาดหายไปในอุปทานส่วนขาดราว 4.5 ล้านตัว หรือคิดเป็น 3 แสนตัน หรือคิดเป็น 2.7 หมื่นตัน/เดือน แล้วการระบาดของโรคนี้ยังทำให้ฟาร์มหมูในประเทศลดลงแยกเป็น 70% ผู้เลี้ยงรายใหญ่ และ 30% ผู้เลี้ยงรายย่อยระดับกลาง “ราคาหมูมีชีวิตถูกผลักขึ้นราคาหน้าฟาร์ม 110 บาท/กก. แต่ไม่รู้ว่าจะตรึงราคาได้นานเพียงใด เพราะปริมาณหมูขาดตลาดอย่างรุนแรง แล้วทำให้เริ่มเห็นการซื้อขายหมูในตลาดมืดกันมากขึ้น 120 บาท/กก. สังเกตได้หลายพื้นที่เนื้อหมูแพงโอเว่อร์ห่างจากราคาตรึงไว้ ส่วนราคาขายปลีกบวกขึ้นอีก 90-95 บาท/กก.” ดร.สุวรรณาว่าทว่าสถานการณ์โรคอหิวาต์แอฟริกาในหมูระบาดนี้ “ส่งผลกระทบก่อให้เกิดความสูญเสียสวัสดิการสังคมในฝั่งผู้บริโภคมากกว่า 1,200 ล้านบาทต่อเดือน” ที่ผู้บริโภคสูญเสียจากอุปทานขาดรุนแรงนี้เพราะเมื่อหมูแพงแล้วการบริโภคต้องลดลง แล้วยังทำให้ราคาเนื้อสัตว์ ทดแทนเพิ่มสูงขึ้นตามด้วย ทั้งเนื้อไก่ เนื้อวัว และอาหารทะเล ส่วนการปรับแต่ละชนิดไม่ต่างกันมากราว 25% จากราคาเดิม ทั้งรวมถึงสินค้าอื่นอีกหลายประเภทด้วย แต่ในเรื่องน่ากังวล “เวลาปรับราคาขึ้นมักอยู่ถาวร” แม้สถานการณ์คลี่คลายแล้วก็มักไม่ปรับลง ปัญหาถัดมา...“การเข้าถึงการบริโภคโปรตีนของประชาชน” โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยมักมีความลำบากยิ่งขึ้น ทั้งยังกระทบต่อความเชื่อมั่นในความปลอดภัยเปลี่ยนไปของผู้บริโภคเนื้อหมูด้วย นั่นหมายความว่า “ประชาชนไม่กล้าบริโภคเนื้อหมู” โดยเฉพาะเนื้อหมูที่ผลิตไม่ได้มีการรับรองมาตรฐานในประเทศทั้งที่ความจริงแล้ว...“คนไทย” มีการรับประทานเนื้อหมูมาตั้งแต่ปี 2564 อันเป็นช่วงการระบาดโรคอหิวาต์แอฟริกาในหมูแล้วด้วยซ้ำ เหตุนี้อยากบอกว่า “การบริโภคเนื้อหมูปนเปื้อนโรคอหิวาต์แอฟริกาไม่มีผลกระทบต่อ ผู้บริโภคเชิงสุขภาพ” อันมีหลักฐานงานวิจัยจากหลายสถาบันทั่วโลกออกมายืนยันชัดเจน เช่นเดียวกับ ผศ.น.สพ.ณัฐวุฒิ รัตนวนิชย์โรจน์ ภาควิชาเวชศาสตร์และทรัพยากรการผลิตสัตว์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ ให้ความเห็นว่า โรคอหิวาต์แอฟริกาในหมูเป็นโรคที่มีการพบเจอกันมากว่าร้อยปี ตั้งแต่ปี 1907 แล้วสถานการณ์การระบาดตั้งแต่ปี 2563-7 ม.ค.2565 มีรายงานการติดเชื้อ 33 ประเทศทั้งทวีปแอฟริกา ยุโรป และเอเชีย ที่กำลังก่อให้เกิดปัญหาผลกระทบ “ด้านอาหารโปรตีนของผู้บริโภคเป็นอย่างมาก” ฉะนั้นในการแก้ปัญหาพูดกันในเชิงความมั่นคงทางอาหารคงพุ่งเป้าไปยัง “ผู้ผลิต และผู้บริโภค” ที่มีความจำเป็นต้องปรับตัวให้สอดรับกันทั้ง 2 ฝ่ายในช่วงนี้และมีคำถามว่า “เนื้อหมูปนเปื้อนโรคอหิวาต์แอฟริกา” จะส่งผลกระทบเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคหรือไม่ ในเรื่องนี้ยืนยันว่า “ไม่ส่งผลต่อการติดเชื้อสู่ผู้บริโภค” สามารถเลือกซื้อเนื้อหมูตามปกติ แต่เพื่อความมั่นใจควรซื้อจากแหล่งจำหน่ายที่เชื่อถือมีมาตรฐาน หรือสังเกตจุดเลือดออกตามเนื้อหมูอันเป็นลักษณะสำคัญโรคชนิดนี้ก็ได้ขอย้ำว่า “เนื้อหมูปนเปื้อนโรคอหิวาต์หมู” จะไม่มีผลกระทบต่อผู้บริโภคแน่นอน เพียงแต่ว่าการรับประทานต้องปรุงสุกก่อนรับประทานเสมอ “ตามหลักใช้ความร้อนมากกว่า 80 องศาฯ ในระยะเวลา 15 นาทีขึ้นไป” เพราะอย่าลืมเนื้อหมูนั้น “ไม่ใช่มีเฉพาะเชื้ออหิวาต์หมูชนิดเดียว” แต่มีเชื้อไวรัสหลายชนิดมากมาย ประเด็นร้อนคำถามยอดฮิต “หมูจะแพงไปอีกนานเพียงใด” ขออธิบายกลไกการเพิ่ม “สุกรขุน (หมูเลี้ยงทั่วไป)” ในการแก้วิกฤตินี้ระยะสั้นเร็วที่สุดหมู 1 ตัว มักต้องถูกอุ้มท้องราว 4 เดือน เมื่อคลอดออกมาเลี้ยงต่อไปอีก 6 เดือน นั่นหมายความว่าต้องใช้เวลา 10 เดือนในการเพิ่มจำนวนหมู 1 ตัวเข้าสู่กลไกตลาดได้ในส่วน “หมูพันธุ์ต้องใช้เวลาเตรียม 7 เดือน” แต่มีวิธีเร็วกว่านั้นในประเทศจีนและเวียดนามมักใช้กันด้วยการใช้สุกรขุนขึ้นมาเป็นแม่พันธุ์เบื้องต้นใช้เวลาเตรียมตัว 2 เดือน แล้วนำมาผสมพันธุ์ตั้งท้องคลอดออกมาเลี้ยงดูใช้เวลา 12 เดือน ฉะนั้นถ้าหมูหายจากระบบนี้ยังไม่จบลงกำลังการผลิตไม่อาจกลับมาเป็นปกติได้เร็วแน่ๆแล้วตอกย้ำว่า “การผลิตหมูในประเทศไทย” ถ้านับจากวันนี้เป็นต้นไปต้องใช้เวลาการกลับมาเป็นปกติอย่างเร็วสุดประมาณ 1 ปี 6 เดือน...ถึง 2 ปี ดังนั้นจำเป็นต้องสร้างแรงจูงใจต่อ “ผู้เลี้ยง” กลับมาผลิตรักษาหมูที่มีอยู่ เร่งเลี้ยงนำออกมาสู่กลไกตลาดให้ปกติมากที่สุด เพื่อจะเป็นการลดภาระให้แก่ผู้บริโภคอีกทางหนึ่งในช่วงเวลานี้ทั้งหมดนี้เป็นต้นตอเหตุ “หมูแพง” นำไปสู่ข้อเสนอ “เปิดประตูนำเข้าหมูระยะสั้น” เพื่อมาชดเชยสิ่งที่ขาดไม่ให้ราคาสูงเกินไป อันเป็นอีกทางเลือกทางรอดให้ผู้เลี้ยงอยู่รอด...ผู้บริโภคอยู่ได้...ที่ต้องติดตามกันตอนต่อไป.