ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ! วันนี้ ถ้าคุณพิมพ์คำว่า “ขายไต” ใน Google จะเป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษก็ตาม นอกจากจะมีข้อมูลมหาศาลให้คุณเลือกช็อปอวัยวะชิ้นสำคัญของร่างกายแล้ว ในลิงก์ที่คุณคลิกยังสามารถพาคุณเข้าไปเยือนในหน้า “สมุดเยี่ยม” ของเว็บไซต์ อีกหลายแห่ง ด้วยโพสต์ข้อความอัตโนมัติหลายภาษา เช่น“คุณต้องการซื้อไตหรือคุณต้องการขายไตของคุณ?“คุณกำลังมองหาโอกาสที่จะขายไตเพื่อหาเงิน เนื่องจากปัญหาทางการเงิน และคุณไม่รู้จะทำอย่างไร ติดต่อเราวันนี้ และเราเสนอเงินจำนวน 400,000 ดอลลาร์สำหรับไตของคุณ....“ฉันชื่อ DOCTOR xx เป็นแพทย์อยู่ที่ในโรงพยาบาล xx มีความเชี่ยวชาญในการผ่าตัดและการปลูกถ่ายไตกับผู้บริจาคชีวิต เราอยู่ในอินเดีย ตุรกี สหรัฐอเมริกา มาเลเซีย ดูไบ หากคุณสนใจที่จะขายหรือซื้อไต โปรดอย่าลังเลที่จะติดต่อกับเราทางอีเมลและ WhatsApp...”ที่น่าสนใจไปกว่านั้นก็คือ มีคนตอบกลับข้อความและโพสต์เสนอขายไตตามที่เว็บไซต์โฆษณาเชิญชวน หลายคนให้ชื่อ เบอร์โทร.ติดต่อ อีเมล และไลน์ ID ครบถ้วนโอ้แม่เจ้า! อะไรจะบอกซื้อขายกันโจ่งแจ้งขนาดนี้ เรื่องนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในต่างประเทศ แต่ในเมืองไทย เว็บไซต์ของ อบต.หลายแห่ง มีคนนำโพสต์การซื้อขายอวัยวะมนุษย์มาแปะไว้ โดยเฉพาะการซื้อขายไต“หญิงวัย 47 ประกาศขายไต 1 ข้าง เพื่อเอาเงินมาจ่ายค่าเช่าบ้าน กับประทังชีวิต” ภาพข่าวที่เพจ Doctor Kidney-ด็อกเตอร์คิดนี่ ตอบคำถามสุขภาพโรคไต โพสต์เพื่อเตือนเรื่องอันตราย โดยระบุว่า ตั้งแต่โควิด-19 ประกาศขายไตชักเห็นบ่อยขึ้น ทั้งโพสต์ขึ้นในเพจของตัวเอง และแม้แต่ลงประกาศในหนังสือพิมพ์ความก้าวหน้าทางวิทยาการเปลี่ยนและปลูกถ่ายอวัยวะ ทำให้ตลาดอะไหล่อวัยวะเติบโตในหลายประเทศทั่วโลก และบางประเทศการค้าอวัยวะเป็นเรื่องถูกกฎหมาย เช่น ปากีสถาน และบางรัฐของอินเดียอาลี จาฟฟาร์ นักวี ผู้บริหารมูลนิธิไตแห่งปากีสถาน บอกว่า ปากีสถานเป็นตลาดใหญ่ในการค้าไต เฉพาะลาฮอร์ เมืองหลวงของปากีสถาน ประเทศที่ติดอันดับความยากจนลำดับต้นๆของโลก มีศูนย์รักษาไตถึง 13 แห่ง และมีรายงานรับปลูกถ่ายไตที่ลูกค้าซื้อ ประมาณ 2,000 ราย คนไข้มีทั้งจากยุโรป ซาอุดีอาระเบีย และอินเดีย โดยทำเป็นล่ำเป็นสัน เรียกว่า “การท่องเที่ยวปลูกถ่ายอวัยวะ” ลูกค้าจ่ายเงิน ประมาณ 5 แสนรูปี (8,500 ดอลลาร์) เพื่อการซื้อไตใหม่ โดยคนที่ขายไตจะได้เงินราว 300-1,000 ดอลลาร์ และบ่อยครั้งก็ไม่ได้รับการดูแลรักษา หลังจากผ่าตัดไตไปแล้วรัฐบาลปากีสถานพยายามออกกฎหมายห้ามการค้าอวัยวะ แต่ก็ถูกต่อต้านโดยกลุ่มอิทธิพล แม้จะ “ห้ามซื้อขาย” แต่กฎหมายก็ยังซ่อนข้อความไว้ในบางมาตราที่อนุญาตให้มีการบริจาคอวัยวะให้แก่ผู้ที่ไม่ใช่ญาติ ซึ่งส่งผลให้มีการลักลอบซื้อขายไตกันอย่างลับๆแบบใต้ดินแต่ทำในรูปของการบริจาค ที่น่าสลดสังเวชใจก็คือ ผู้ร่วมขบวนการเหล่านี้ส่วนหนึ่ง คือ แพทย์ที่ทำหน้าที่เป็นล็อบบี้ยีสต์และผู้ลงมือทำการปลูกถ่ายไตเองในแอฟริกาใต้ ผู้สละไตหนึ่งข้างจะได้รับเงินตอบแทน 700 ดอลลาร์ ส่วนการ “เร่ขาย” ไตในอียิปต์ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะประชากรมากกว่า 70 ล้านคนฐานะยากจน การค้าอวัยวะเป็นธุรกิจผิดกฎหมายในอียิปต์ แต่ลูกค้าก็ใช้เวลาเพียง 15 วัน ในการหาซื้อไตได้ในราคาประมาณ 5,000 ดอลลาร์ในจำนวนนี้ แพทย์และโรงพยาบาลจะได้ค่าเหนื่อยและค่าบริการประมาณ 15% หักจากคนขายและบ่อยครั้งที่แพทย์จะช่วยหาผู้ที่เต็มใจขายอวัยวะ โดยดูจากรายชื่อคนไข้ของแพทย์ในตุรกี มีนักเรียน นักศึกษา คนตกงาน ประกาศขายไตในอินเตอร์เน็ต ให้รายละเอียดเรื่องการดื่ม สูบบุหรี่ รวมทั้งกรุ๊ปเลือด เพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจ คนขายไตเหล่านี้ได้รับคำสั่งซื้อไตจากเยอรมนี อิสราเอล และตุรกี บางคนตั้งราคาไตหนึ่งข้างในราคาเกือบ 40,000 ดอลลาร์ ส่วนที่เนปาล ซึ่งติดอันดับความยากจนลำดับต้นๆของโลก ตลาดมืดค้าไตเฟื่องฟู แหล่งรับซื้ออวัยวะรายใหญ่อยู่ในอินเดียเพราะคนอินเดียเดินทางไปเนปาลได้โดยไม่ต้องใช้วีซ่า กฎหมายการปลูกถ่ายอวัยวะในอินเดียก็ไม่เข้มงวด เครือข่ายซื้อขายไตทำงานอย่างเป็นระบบ พ่อค้าคนกลางจะตระเวนหา “สินค้า” ในชุมชนคนยากจน เมื่อเจรจาเรียบร้อย ก็พาคนขายเดินทางไปตัดไตที่อินเดีย แล้วก็พากลับมาส่งบ้าน เมื่อหักค่านายหน้าแล้ว เจ้าของไตจะได้รับเงินประมาณ 70,000 รูปีเนปาล หรือประมาณ 19,000-20,000 บาทว่ากันว่าการซื้อไตที่เนปาลไม่ต้องเกลี้ยกล่อมมาก เพราะนอกจากความยากจนแล้ว ยังมีการป้อนข้อมูลว่าเสียไตหนึ่งข้างก็ไม่ได้ทำให้ร่างกายผิดปกติ ยังทำงานหนักได้เหมือนเดิม บางทีถึงขนาดหลอกว่าไตสามารถงอกขึ้นใหม่ได้เอง มีข้อมูลว่า ในชุมชนยากจนแห่งเดียวอาจมีผู้ขายไตมากถึง 150 รายต่อปี ในแหล่งชุมชนแออัดของอินเดียและเนปาลเป็นที่รู้จักกันดีว่า เป็นแหล่งใหญ่ในการลักลอบค้าอวัยวะมนุษย์ WHO ประเมินว่าอวัยวะ 10,000 ชิ้น หรือ 10% ของอวัยวะที่ส่งไปปลูกถ่ายให้ผู้ป่วยทั่วโลกแต่ละปีมาจากที่นี่อิหร่านเป็นชาติเดียวที่อนุญาตให้ซื้อและขายอวัยวะด้วยเงิน เนื่องจากขาดโครง สร้างพื้นฐานในการบำรุงรักษาระบบการปลูกถ่ายอวัยวะที่มีประสิทธิภาพในช่วงต้นทศวรรษ ค.ศ.1980 อิหร่านได้ออกกฎหมายการบริจาคไตแบบไม่เกี่ยวข้องกับชีวิต มีสมาคมการกุศลเพื่อการสนับสนุนผู้ป่วยไต และมูลนิธิการกุศลโรคพิเศษ ควบคุมการค้าอวัยวะโดยการสนับสนุนของรัฐบาล องค์กรเหล่านี้ไม่แสวงหาผลกำไร และจับคู่ผู้บริจาคกับผู้รับ ตั้งค่าการทดสอบเพื่อให้แน่ใจว่าเข้ากันได้ ผู้บริจาคจะได้รับการชดเชยเครดิตภาษีจากรัฐบาล มีประกันสุขภาพฟรี และรับเงินจากผู้รับประมาณ 1,200 ดอลลาร์ รวมถึงโอกาสในการจ้างงานอีกด้วยอิหร่านกำหนดข้อจำกัดในการค้าอวัยวะในเชิงพาณิชย์ เพื่อจำกัด “การท่องเที่ยวเพื่อการปลูกถ่ายอวัยวะ” แต่ก็ยังไม่อนุญาตให้ชาวต่างชาติซื้ออวัยวะของชาวอิหร่าน ทำได้เฉพาะปลูกถ่ายให้แก่คนสัญชาติเดียวกันเท่านั้นในเวียดนาม เส้นทางการค้าอวัยวะเริ่มเมื่อกลางปี 2560 หลังจากมีการจับกุมนางเหวี่ยน อายุ 44 ปี จากเมืองโฮจิมินห์ ผู้พยายามขายไตเพื่อนำเงินไปใช้หนี้ การสอบสวนเพื่อสาวไปถึงขบวนการพบว่านางเหวี่ยนและอีกหลายๆคนล้วนมาจากชนบทที่ยากจน บ้างเป็นชนกลุ่มน้อย คนเหล่านี้มักถูกหลอกว่าการสละไตหนึ่งข้างไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ผู้สละไตจะได้รับเงิน 200 ล้านด่ง หรือประมาณ 3 แสนบาท และได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้บริจาค อีกประเทศที่ได้ชื่อว่า “ขายไต” กันอย่างโจ๋งครึ่ม เห็นจะเป็นพี่ใหญ่อย่างจีน ที่ได้ชื่อว่าเป็นตลาดมืดของการค้าอะไหล่มนุษย์ขนาดใหญ่แห่งหนึ่งคนจีนมีความต้องการปลูกถ่ายอวัยวะปีละ 2 ล้านชิ้น ทางการจีนจึงประกาศห้ามการซื้อขายอวัยวะมนุษย์ รวมถึงจำกัดการปลูกถ่ายอวัยวะให้กับชาวต่างชาติ โดยบอกว่าต้องปลูกถ่ายให้กับชาวจีนให้พอเสียก่อน หากยังมีอวัยวะเหลือจึงค่อยปลูกถ่ายให้กับชาวต่างชาติ แต่ละปีมีการปลูกถ่ายอวัยวะที่จีนเพียง 20,000 ราย ในจำนวนนี้เป็นการปลูกถ่ายตับประมาณ 3,000 ราย 95% ใช้ตับจากผู้บริจาคที่เสียชีวิตแล้ว ราคาประมาณ 33,000 ดอลลาร์อีกแหล่งที่มา คือ การใช้อวัยวะจากนักโทษที่ถูกประหารชีวิตแล้ว ถ้าได้รับการยินยอมจากตัวนักโทษหรือครอบครัวของนักโทษ วิธีนี้แม้แต่ WHO ก็ยังมองว่าเป็นทางออกที่ไม่เลว เพราะเป็นการเอาเรื่องนี้ขึ้นมาอยู่บนดิน เปิดช่องทางให้สามารถตรวจสอบได้ ดีกว่ามุดใต้ดินด้วยการลักลอบ ซึ่งส่งผลร้ายแรงต่อผู้สละไตขณะยังมีชีวิตแต่ที่น่าตกใจในช่วง 2-3 ปีมานี้ วัยรุ่นจีนประกาศ “ขายไต” เพียงเพราะต้องการเงินไปซื้อ I-Pad หรือ I-phone รุ่นใหม่เท่านั้นในประเทศไทย การค้าไตเป็นตลาดใหม่ เส้นทางค้าไตคือข้ามพรมแดนไทย-กัมพูชา ราคาขายไตอยู่ที่ประมาณ 3,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 97,000 บาท) ของเรามีกรณีที่จับชายชาวกัมพูชาวัย 18 ปี พร้อมพ่อค้าคนกลางที่ลักลอบมาขายไตในเมืองไทย และที่น่าตกใจมากก็คือ เมื่อไม่นานมานี้ ก็มีการออกมาประกาศขายไตผ่านทางเฟซบุ๊กและแม้แต่เดินเร่ขายบนถนนในเมืองไทย จนกลายเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลกข้อมูลจากสภากาชาดไทยระบุว่า มีจำนวนผู้ป่วยที่ลงทะเบียนรอรับการบริจาคอวัยวะไว้กับศูนย์รับบริจาคอวัยวะมากถึง 6,401 ราย แต่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะเพียง 585 ราย โดยลงทะเบียนรอรับไตมากที่สุดถึง 6,082 รายซึ่งหมายความว่า Demand site ของความต้องการอวัยวะ มีมากกว่า Supply Chain เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ ส่งสัญญาณว่า การลักลอบและการซื้อขายอวัยวะทั้งแบบถูกกฎหมายและลักลอบจะยังคงมีต่อไป ตราบเท่าที่ยังไม่มีเทคโนโลยีทางการแพทย์ในการรักษาอวัยวะที่เสื่อมจนทำงานไม่ได้ที่ดีไปกว่าการเปลี่ยนหรือปลูกถ่ายอวัยวะ.