มีงานวิจัยพบว่า “ความเหงา” ถือเป็นปัญหาด้านสาธารณสุขที่สำคัญ เนื่องจากสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้มากกว่ามลพิษทางอากาศหรือแม้แต่โรคอ้วนได้การวิจัยยังเผยว่า ผู้คนมักพบกับความเหงาในระดับต่างๆตลอดทั้งวัน โดยความรู้สึกเหงาจะเปลี่ยนแปลงไปตามปัจจัยทางสังคมและสิ่งแวดล้อมเมื่อ “ความเหงา” อาจส่งผลต่อสุขภาพกายและสุขภาพใจของผู้คน จึงเป็นเรื่องที่นักวิจัยต้องพยายามหาวิธีที่จะจัดการกับปัญหาดังกล่าว เมื่อเร็วๆนี้ มีผลการศึกษาใหม่ตีพิมพ์ในวารสาร Scientific Reports โดยทีมวิจัยของหลายสถาบันในสหราชอาณาจักร นำโดยผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยคิงส์ คอลเลจ ลอนดอน ในอังกฤษ ระบุว่าการที่ผู้คนได้ออกไปข้างนอก ไม่จำเจอยู่กับพื้นที่เดิมๆ โดยไปสัมผัสและเพลิดเพลินกับธรรมชาติ จะสามารถลดความรู้สึกอ้างว้างได้มากถึง 28%ผู้เชี่ยวชาญเผยว่า ได้รวบรวมข้อมูลจากอาสาสมัคร 756 คน ที่ใช้แอปพลิเคชัน Urban Mind ซึ่งติดตั้งบนสมาร์ทโฟน แอปพลิเคชันนี้สร้างขึ้นเพื่อให้ผู้คนสามารถวัดประสบการณ์ของพวกเขาที่อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมชนบทหรือสภาพแวดล้อมของเมืองอาสาสมัครที่ใช้งานแอปพลิเคชันจะได้รับแจ้ง 3 ครั้งในแต่ละวันเพื่อตอบคำถามเกี่ยวกับความรู้สึกและคำถามด้านสภาพแวดล้อม จากนั้นนักวิจัยก็จะวิเคราะห์ข้อมูลที่ผู้ใช้แอปพลิเคชันตอบกลับมา ในการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับปัจจัยที่อาจทำให้คนเรารู้สึกโดดเดี่ยวทั้งนี้ การประเมินด้านสุขภาพจิตและสวัสดิภาพมากกว่า 16,000 รายการที่อาสาสมัครเหล่านั้นตอบมาในระหว่างเดือน เม.ย.2561-มี.ค.2563 ก็พบว่าพวกเขารู้สึกเหงามากขึ้นถึง 39% เมื่อรู้สึกแออัดยัดเยียด แต่ถ้าได้มองต้นไม้หรือท้องฟ้า ความรู้สึกเหงาเปล่าเปลี่ยวเหล่านั้นก็ลดลง หรือการอยู่ในที่ที่รู้สึกว่าได้เป็นส่วนหนึ่งของสังคม ความเหงาก็ลดลง 21% และเมื่อรวมกลุ่มทางสังคมในสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ ความเหงาก็ลดลงไปอีก 8%การค้นพบเหล่านี้มีนัยสำคัญต่อการสร้างกลยุทธ์และการแทรกแซงด้านสาธารณสุข ในการที่จะมุ่งลดภาระของความเหงาในสังคม โดยเฉพาะการส่งเสริมและรักษาพื้นที่สีเขียวให้ผู้คนได้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ภัค เศารยะ