โครงการผลิตปาล์มน้ำมันอย่างยั่งยืนด้วยนวัตกรรมปาล์มน้ำมันของศูนย์วิจัยปาล์มน้ำมันสุราษฎร์ธานี กรมวิชาการเกษตร เป็นหนึ่งในผลงานที่คว้ารางวัลเลิศรัฐ สาขารางวัลบริการภาครัฐ ประเภทพัฒนาการบริการ ระดับดี ประจำปี พ.ศ. 2564...โครงการนี้มีดีตรงไหนถึงคว้ารางวัลนี้มาได้ที่ได้ผลลัพธ์ทำให้เกษตรกรเข้าร่วมโครงการได้ผลผลิตปาล์มน้ำมันเพิ่มขึ้นจาก 1.67 ตันต่อไร่ต่อปี เป็น 2.15 ตันต่อไร่ต่อปี หรือเพิ่มขึ้น 29% และทำให้เกษตรกรบางรายได้ผลผลิตสูงถึง 123% จากที่เคยได้ผลผลิตแค่ 1.96 ตันต่อไร่ต่อปี ในปี 2562 เพิ่มเป็น 4.36 ตัน ในปี 2564 “เราเริ่มทำมาตั้งแต่ปี 2562 เป็นโครงการอบรมให้ความรู้เกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันในพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งมีพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันมากที่สุดในประเทศ มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ 95 ราย จาก 11 อำเภอ แม้จะดูเหมือนเป็นการอบรมเหมือนโครงการทั่วไป แต่การอบรมโครงการนี้มีความแตกต่าง ทั้งในแง่วิชาความรู้ การอบรมทั่วไปมักจะให้ความรู้แค่สาขาวิชาเดียว แต่ของเราอบรมให้ความรู้กันทีเดียวถึง 4 สาขาวิชา เรียกว่าครบวงจรการผลิตปาล์มน้ำมันกันเลยทีเดียว เพราะมีตั้งแต่การจัดการน้ำ การให้ธาตุอาหารตามผลวิเคราะห์ดินและใบ การเก็บเกี่ยวปาล์มน้ำมัน และให้น้ำด้วยระบบมินิสปริงเกอร์ การจัดการธาตุอาหารตามผลวิเคราะห์ดิน-ใบ การเก็บเกี่ยวปาล์มน้ำมันคุณภาพ และการเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของปาล์มน้ำมันเพื่อเพิ่มผลผลิต”น.ส.วิชณีย์ ออมทรัพย์สิน นักวิชาการเกษตรชำนาญการพิเศษ ศูนย์วิจัยปาล์มน้ำมันสุราษฎร์ธานี หัวหน้าโครงการผลิตปาล์มน้ำมันอย่างยั่งยืนด้วยนวัตกรรมปาล์มน้ำมัน บอกว่า ไม่เพียงการอบรมจะมากวิชา ระยะเวลาอบรมยังต่างกันเพราะใช้เวลาอบรมต่อเนื่องยาวนานถึง 4 ปี และไม่ใช่อบรมแบบนั่งฟัง “รับรู้” อย่างเดียว แต่เป็นการอบรมในแบบ “เรียนรู้” ลงมือปฏิบัติร่วมกัน มีทั้งอบรมในสถานที่ นอกสถานที่ รวมทั้งแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกันทางกลุ่มไลน์และผลจากการดำเนินโครงการ ทำให้รู้ปัญหาของเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันเป็นอย่างดี โดยเฉพาะในเรื่องแหล่งน้ำ เกษตรกรส่วนใหญ่ 60-70% ไม่มีระบบจัดการน้ำอย่างพอเพียงในฤดูแล้ง เพราะไม่มีแหล่งน้ำเป็นของตัวเอง... เพราะจะปลูกปาล์มฯให้ได้ผล พื้นที่ 1 ไร่ ต้องมีน้ำป้อนสวนปาล์มอย่างน้อย 132 คิวต่อไร่ต่อเดือน“และที่เกษตรกรไม่ค่อยรู้ การให้น้ำนั้นมีเทคนิคที่จะต้องรู้ด้วยว่า ดินที่เราปลูกปาล์มเป็นยังไง อย่างดินทราย การให้น้ำต้องเปิด 20 นาที พัก 1 ชั่วโมง ถึงจะให้น้ำใหม่ จะให้ต่อเนื่องไปนานๆไม่ได้ เพราะดินทรายน้ำซึมเร็วมาก รากดูดไม่ทัน ให้นานไปน้ำซึมหายไปโดยเปล่าประโยชน์” แม้กระทั่งเรื่องปุ๋ย น.ส.วิชณีย์บอกว่า ทุกวันนี้เกษตรกร 90% ไม่เคยดูข้างกระสอบปุ๋ย มีเครื่องหมายมาตรฐานรับรองเป็นปุ๋ยแท้จริงหรือเปล่า แถมบางทียังไปซื้อปุ๋ยที่หมดอายุแล้วมาใช้ ล้วนแต่ทำให้เกิดการสูญเปล่า นอกจากนั้น ยังมีปัญหาบางรายใส่ปุ๋ยน้อยไป บางรายก็ใส่มากไปก็มี“และยังมีปัญหาการให้ปุ๋ยจะดูแค่ค่าวิเคราะห์ของดินอย่างเดียวไม่ได้ ต้องดูค่าการวิเคราะห์ทางใบด้วย เพราะบางพื้นที่ดินดี แต่พืชไม่สามารถดูดนำไปใช้ได้ เนื่องจากสภาพความเป็นกรดด่างของดิน เลยต้องดูจากใบว่า พืชได้แสดงอาการขาดธาตุอาหารตัวใดบ้าง เพื่อจะได้ปรับแก้ให้เหมาะสม”ส่วนเรื่องการเก็บเกี่ยวปาล์มน้ำมัน...เกษตรกรยังเข้าใจผิด คิดว่าเก็บเกี่ยวปาล์มดิบจะได้น้ำหนักมากกว่าปาล์มสุก ทั้งที่เป็นเรื่องตรงกันข้าม แถมปาล์มสุกยังขายได้ราคาดีกว่าปาล์มดิบ เพราะมีเปอร์เซ็นต์น้ำมันมากกว่า “ความรู้อีกเรื่องที่เกษตรกรปลูกปาล์มน้ำมันเข้าใจผิดนั่นคือ การตัดทางใบมาวางกองให้ย่อยสลายกลายเป็นปุ๋ย มีการตัดมากเสียจนมีผลทำให้ผลผลิตตกต่ำ การตัดทางใบที่ถูกต้อง ให้ตัดเฉพาะทางใบแก่ที่เริ่มเปลี่ยนเป็นมีสีน้ำตาล เพราะทางใบที่ยังมีสีเขียวนั้นยังมีศักยภาพในการสังเคราะห์แสง ที่จะหาอาหารไปเลี้ยงบำรุงต้น มีใบสีเขียวที่สังเคราะห์แสงได้มาก ไม่ต่างอะไรกับเรามีแม่ครัวหลายคน ตัดทางใบมากไปแม่ครัวน้อยลง ต้นปาล์มอดอยาก จะให้ผลผลิตมากขึ้นได้อย่างไร”ผลที่ได้จากโครงการผลิตปาล์มน้ำมันอย่างยั่งยืนด้วยนวัตกรรมปาล์มน้ำมันของศูนย์วิจัยปาล์มน้ำมันสุราษฎร์ธานี ไม่เพียงจะช่วยให้เกษตรกรเข้าร่วมโครงการได้ลดต้นทุนเพิ่มผลผลิตเท่านั้นยังสะท้อนให้เห็น...บ้านเรายังขาดแคลน การถ่ายทอดเทคโนโลยีองค์ความรู้ให้เกษตรกรสามารถปฏิบัติได้จริง.ชาติชาย ศิริพัฒน์