ผมหาหนังสือเล่มชื่อ “ถนนหนังสือสายคาบูล” ไม่เจอ จำได้แต่ว่า เป็นเรื่องจริงที่เขียนแบบนิยาย โดยนักข่าวสาวจากประเทศสแกนดิเนเวีย ที่ตามทหารสหรัฐเข้าไป ตอนยึดกรุงคาบูลจากรัฐบาลตาลีบันได้ใหม่ๆถามจิรนันท์ พิตรปรีชา คนแปล ได้ความว่า “มติชน” พิมพ์ขาย ปี 2550 เป็นหนังสือขายดีแต่ไม่ดีเท่าหลายๆประเทศที่ว่ากันว่า คนอ่านตื่นเต้นกันมาก วิถีชีวิตผู้หญิงในระบอบตาลีบัน เป็นไปได้ถึงขนาดนั้นในกฎหลายข้อ ที่ตาลีบันประกาศ ข้อแรก “ห้ามเตะตะกร้อ” ข้อสอง “ห้ามเล่นว่าว” จิรนันท์ยังพอจำได้ผมก็พอจำเรื่องที่อ่านไปกว่าสิบปีได้บ้าง สิ่งแรกๆที่ผู้ชายในอัฟกานิสถานต้องการ หลังระบอบตาลีบันล้ม คือกระจกส่องหน้าและมีดโกนหนวดไม่ใช่แค่ผู้หญิง ในชุดบูการ์ คลุมตั้งแต่หัวถึงเท้า โผล่ได้แค่สองตา ผู้ชายก็ไม่อยากปล่อยหนวดยาว ไว้เครารุงรัง อยากมีหน้าเกลี้ยงเกลา อยากหล่อเหมือนผู้ชายในประเทศอื่นๆเหมือนกันครอบครัวหนึ่ง ผู้หญิงคนหนึ่ง เธอแค่ยืนพูดกับเพื่อนชายใกล้บ้าน ระยะห่างคนละฟากถนน นี่คือข้อห้ามสำคัญ เพื่อนบ้านเอาไปติฉินนินทานี่เป็นเรื่องใหญ่ คนทั้งบ้านต้องประชุมกันครึ่งค่อนวัน ผลสรุปเป็นข่าวทำนองว่า “เธอเสียใจผูกคอตาย”แต่เรื่องจริง...พี่ชาย และน้องชาย ได้มติบ้าน ถือหมอนเข้าไปกดทับหน้าผู้หญิงคนนั้น นี่คือประหารเงียบ...ผมพยายามเผื่อใจ ไม่เชื่อไปหมด...นี่เป็นแค่นิยาย ที่เขียนด้วยอคติ นักข่าวฝรั่งที่มาจากประเทศศิวิไลซ์ ผู้หญิงมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมผู้ชาย...จะเข้าใจ ความนัยของผู้หญิงในสังคมดั้งเดิม ที่อาจจะมีความสงบสุขเงียบๆแบบของเธอย้อนไปตอนมีข่าว ตาลีบันระเบิดพระพุทธรูปปางยืนสมัยคันธารราฐ สลักหน้าผา ในหุบเขาเมืองบามิยัน อายุราว 1,500 ปี สูงราว 50-60 เมตร แหลกกระจุยกระจายไปสององค์ชาวพุทธอย่างผม นับถือพระพุทธเจ้า ใจหาย เสียดายพอมีความรู้บ้าง ที่พุทธคยา รัฐบาลท้องถิ่นเป็นฮินดู บริหารจัดการหาประโยชน์ จากชาวพุทธที่แห่กันไปแสวงบุญได้ไม่น้อยหากพระพุทธรูปสลักหิน ที่ถือกันว่าเป็นพระพุทธรูปยุคแรกของโลกยังมีอยู่ ชาวพุทธจะหลั่งไหลไปกราบไหว้ ผลประโยชน์คงจะเกิดเกื้อหนุนท้องถิ่นบามิยัน ได้ปีหนึ่งๆไม่น้อยทีเดียวผมพอทำใจได้ พระพุทธเจ้าสอนไว้ว่า พระธรรมพระวินัย เป็นตัวแทนพระองค์ พระพุทธรูปสลักหรือหล่อจากโลหะ ฯลฯ ก็เพียงสิ่งสมมติอีกประการ...นั่นเป็นบ้านเมืองของเขา ของชาวอัฟกานิสถาน เขาทำอย่างไร เขาก็ได้อย่างนั้น สหรัฐอเมริกา หรือจีน ไม่ควรไปคิดแทน...ไม่ช่วยอะไรให้เขาดีขึ้น ก็อย่าไปซ้ำเติม อย่าให้ผลประโยชน์นำพา สร้างความรู้สึกต่อต้าน...จนเป็นสงครามสหรัฐฯเอง บทเรียนจากเวียดนาม แค่ไหนยังไม่จำ เจอบทเรียนอัฟกานิสถานซ้ำ น่าจะพอรู้สึกรู้สาบ้างแล้วไทยเราเองก็เถอะ มีการเมืองในพม่า มีการเมืองมาเลเซีย...ให้บทเรียนสดๆร้อนๆขนาบสองด้าน...ไม่มีรัฐบาลใดยืนยงคงค้ำฟ้า ทุกสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาเผลอยึดติดว่า ตัวกูของกู ถึงเวลาไม่ยอมปล่อยวาง มิเพียงให้ทุกข์แก่ตัวตนพวกเดียว...แต่ยังให้ทุกข์ไปถึงผู้คนทั้งบ้านเมือง.กิเลน ประลองเชิง