รูดม่านคดีลุงวิศวะคดียิงโจ๋กลางเมืองชลบุรี ปมจอดรถซ้อนคัน ศาลฎีกาอ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลย แก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา เป็นฆ่าผู้อื่นโดยป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ ให้ลงโทษจำคุก 5 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสาม เหลือจำคุก 3 ปี 4 เดือน โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 3 ปี แม่โจ๋เหยื่อกระสุนน้อมรับคำพิพากษาศาลปิดฉากคดีลุงวิศวะยิงโจ๋บริเวณแยกครกใหญ่ ต.อ่างศิลา อ.เมืองชลบุรี เป็นคดียืดเยื้อมากว่า 3 ปี ศาลฎีกาพิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ระบุการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ โดยเมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 17 มิ.ย. ศาลจังหวัดชลบุรี นัดอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 3544/2561 พนักงานอัยการจังหวัดชลบุรี เป็นโจทก์ น.ส.มณีพร ผึ่งผาย เป็นโจทก์ร่วม ยื่นฟ้องนายสุเทพ โภชนสมบูรณ์ หรือลุงวิศวะ อายุ 56 ปี เป็นจำเลย ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา พาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร และยิงปืนในที่สาธารณะคดีนี้อัยการโจทก์บรรยายฟ้องโดยสรุปว่า เมื่อวันที่ 4 ก.พ.2560 นายสุเทพจำเลยใช้ปืนยิงนายนวพล หรือปอนด์ ผึ่งผาย อายุ 17 ปี ที่หน้าอก 1 นัด จนถึงแก่ความตาย เหตุเกิดบริเวณแยกครกใหญ่ ต.อ่างศิลา อ.เมืองชลบุรี ชั้นพิจารณา นายสุเทพ จำเลยให้การรับสารภาพเฉพาะความผิดฐานพาอาวุธปืนฯเท่านั้น ส่วนความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาให้การปฏิเสธสู้คดี อ้างว่าเป็นการกระทำโดยป้องกันจึงไม่เป็นความผิด ขอให้ศาลยกฟ้องศาลจังหวัดชลบุรีพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามฟ้องโจทก์ ฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาให้จำคุก 15 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสาม เหลือจำคุก 10 ปี ฐานพาอาวุธปืนฯปรับ 4,000 บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงปรับ 2,000 บาท รวมจำคุก 10 ปี ปรับ 2,000 บาท ยกคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ของผู้ร้อง และให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวน 340,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันยื่นคำร้องจนกว่าจะชำระ ต่อมาศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น จำเลยได้ยื่นฎีกา ศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาวันที่ 12 พ.ค. แต่จำเลยไม่มาศาล ศาลนัดอ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลยศาลฎีกาเห็นว่า มูลเหตุคดีเริ่มต้นเมื่อพวกของผู้ตายจอดรถยนต์ตู้ซ้อนคันกับรถยนต์ของจำเลย โดยไม่ได้สนใจว่ารถยนต์ของจำเลยที่จอดริมฟุตปาทจะออกไปได้หรือไม่ เมื่อภรรยาจำเลยแจ้งให้ทราบว่ารถยนต์ของจำเลยกำลังจะออก แต่พวกของผู้ตายไม่ขยับให้กลับบอกให้รอก่อน ซึ่งการจอดรถซ้อนคันขวางทางออกถนนของรถยนต์คันอื่น ทั้งมิยอมรีบขยับรถให้รถคันที่ตนจอดขวางอยู่ออกไปได้ มิใช่เรื่องที่คนทั่วไปกระทำกัน เหตุการณ์เช่นนี้คนทั่วไปไม่ว่าใครก็ตามพบเจอ ย่อมรู้สึกโกรธเป็นธรรมดา จำเลยจึงกล่าวถ้อยคำหยาบคายหลายครั้ง แต่มีเพียงถ้อยคำเดียวที่พวกของผู้ตายได้ยินก่อนที่จะพากันขึ้นรถยนต์ตู้ไป ส่วนถ้อยคำหยาบคายอื่นๆจำเลยกล่าวในรถยนต์ของตนเอง ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้พวกของผู้ตายรู้สึกว่าจะต้องเอาเรื่องกับจำเลย ทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงทำให้จำเลยเสียเวลาไปบ้างเล็กน้อย จึงมิใช่เรื่องใหญ่โตถึงขนาดต้องฆ่ากันศาลฎีกาพิเคราะห์ถึงพฤติกรรมของฝ่ายจำเลยและฝ่ายผู้ตายต่อว่า เชื่อได้ว่าในขณะที่รถยนต์ของทั้งสองฝ่ายเคลื่อนออกจากบริเวณหน้าร้านขายอาหารทะเลแห้ง ทั้งสองฝ่ายไม่ได้มีความคิดที่จะเอาเรื่องอีกฝ่าย เพราะเหตุจากการมีปากเสียงกัน ส่วนเหตุการณ์ระหว่างทางตั้งแต่รถยนต์ของทั้งสองฝ่ายออกจากร้านขายอาหารทะเลแห้งจนถึงเวลาก่อนจะถึงแยกครกใหญ่ พวกของผู้ตายเพียงแต่เปิดไฟสูงใส่จำเลย ไม่ได้ขับแข่ง ขับแซง หรือปาดหน้า ทั้งที่อยู่ในวิสัยที่สามารถกระทำได้โดยง่าย ส่วนพฤติการณ์ภายในรถฝ่ายจำเลยแสดงให้เห็นได้ว่าภายหลังจากออกจากหน้าร้านขายอาหารทะเลแห้งไม่นาน จำเลยและภรรยาต่างระงับความโกรธได้และเกรงว่าจะถูกฝ่ายผู้ตายทำร้าย จึงมีความคิดจะไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าพนักงานตำรวจหรือบุคคลอื่น เมื่อรถยนต์ของทั้งสองฝ่ายไปถึงแยกครกใหญ่ จำเลยมิได้ขับรถปาดหน้ารถพวกของผู้ตาย เพื่อไปจอดรถที่ริมฟุตปาทและมิได้มีพฤติการณ์ยั่วยุให้คนในกลุ่มผู้ตายมาวิวาทต่อสู้กันอีกเมื่อมีคนในกลุ่มของผู้ตายหลายคนอยู่ล้อมรอบรถยนต์ของจำเลย ผู้ตายก็มุดศีรษะเข้ามาในรถยนต์ของจำเลย พูดด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดว่า “มึงจะรบเปล่า” หลายครั้ง และมีความเป็นไปได้สูงที่ผู้ตายจะเข้ามาทำร้ายจำเลยในชั่วเวลาอีกไม่นาน ขณะเดียวกัน จำเลยยังถูกพวกของผู้ตายชกต่อยจากทางด้านหลัง ย่อมถือได้ว่ามีอันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะเกิดขึ้นแก่ชีวิตและร่างกายของจำเลยแล้ว ประกอบกับจำเลยนั่งอยู่ที่นั่งคนขับอันเป็นการอยู่ในที่จำกัดและเคลื่อนไหวร่างกายได้ยาก การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงออกไปจึงเป็นทางเดียวที่จะให้จำเลยพ้นจากการถูกทำร้ายโดยผู้ตายและพวกได้ ถือได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำเพื่อป้องกันตนให้พ้นภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงศาลฎีกาพิเคราะห์อีกว่า เมื่อจำเลยเห็นอยู่แล้วว่าผู้ตายและพวกไม่มีอาวุธ หากจำเลยเพียงนำอาวุธออกมาขู่ว่าจะยิง หรือยิงออกไปโดยไม่จำเป็นต้องให้ถูกผู้ตาย หรือยิงไปที่อวัยวะอื่นที่ไม่สำคัญของผู้ตาย ก็ย่อมเพียงพอที่จะยับยั้งมิให้ผู้ตายและพวกเขามาทำร้ายได้แล้ว แต่จำเลยกลับใช้อาวุธปืนยิงไปที่หน้าอกซ้ายของผู้ตาย แม้ยิงเพียงนัดเดียวก็ไม่เป็นการได้สัดส่วนกับภยันตรายที่เกิดขึ้น หรืออาจเกิดขึ้นกับจำเลย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ จึงพิพากษาแก้เป็นว่า ฐานฆ่าผู้อื่นโดยป้องกันเกินสมควรแก่เหตุจำคุก 5 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 3 ปี 4 เดือน ปรับ 2,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 3 ปี คุมความประพฤติ 2 ปี รายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 3 เดือน ให้จำเลยไปเข้ารับการฝึกอบรมที่เกี่ยวกับการระงับควบคุมอารมณ์ที่เกิดจากการใช้รถใช้ถนนและให้ทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์มีกำหนด 30 ชั่วโมงผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่าในการฟังคำ พิพากษาศาลฎีกาครั้งหนี้ ฝ่ายโจทก์และโจทก์ร่วมคือแม่ของผู้ตายและทนายความมาศาล แต่ฝ่ายจำเลย รวมทั้งทนายความไม่ได้มาฟังคำพิพากษา โดยหลังฟังคำพิพากษา มารดาของผู้ตายกล่าวเพียงสั้นๆว่ายอมรับคำวินิจฉัยของศาล ขณะที่ทนายความกล่าวว่า ความรับผิดชอบทางแพ่งยังเหมือนเดิม คือจำเลยต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวน 340,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันยื่นคำร้องจนกว่าจะชำระ ก็รอดูเขาว่าจะมาชดใช้เมื่อไหร่