สงครามเย็นเกิดเมื่อ ค.ศ.1945 และจบเมื่อ ค.ศ.1991 รวม 46 ปี เป็นสงครามอุดมการณ์ระหว่างกลุ่มโลกเสรีที่มีสหรัฐฯเป็นผู้นำ กับกลุ่มโลกคอมมิวนิสต์ที่มีสหภาพโซเวียตเป็นผู้นำพวกคอมมิวนิสต์มองว่าชนชั้นนายทุนและมหาอำนาจตะวันตกมุ่งทำลายล้างลัทธิคอมมิวนิสต์ทุกวิถีทาง พวกมหาอำนาจตะวันตกก็มองว่าการปกครองแบบเผด็จการตามระบอบคอมมิวนิสต์ขัดแย้งกับค่านิยมประชาธิปไตยนักการเมืองโลกยุคปฐมแห่งสงครามเย็นก็มี แฮร์รี เอส ทรูแมน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โจเซฟ สตาลิน เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต องค์กรที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อต่อสู้กันรุนแรงก็เช่น สำนักข่าวสารคอมมิวนิสต์หรือ Cominform องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจของยุโรป หรือ OEEC องค์การโคเมคอน องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือ NATO องค์การสนธิสัญญาวอร์ซอ หรือ WTO ฯลฯคนที่เลิกสงครามเย็นได้อย่างเป็นรูปธรรมก็คือ มิฮาอิล เซรเกเยวิช กอร์บาชอฟ ผู้นำสหภาพโซเวียต ผู้ซึ่งใช้นโยบายเปิด-ปรับ ส่วนฝั่งสหรัฐฯก็มีประธานาธิบดีจอร์จ บุช ผู้นำโลกทั้งสองคนได้ไปพบกันที่สาธารณรัฐมอลตา และประกาศว่าสงครามเย็นได้สิ้นสุดแล้วอย่างเป็นทางการตั้งแต่ ค.ศ.1992 เป็นต้นมา เราก็ชักลืมเรื่องของสงครามเย็นไปแล้ว แต่หลังจากที่ทรัมป์ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ แกก็ฟื้นสงครามที่มีลักษณะคล้ายกับสงครามเย็นขึ้นมาลุยกับจีนและรัสเซียอีก ตอนแรกเราก็วิเคราะห์กันว่าคงเป็นแค่บุคลิกนิสัยบ้าๆ บอๆ ของทรัมป์เท่านั้น หมดยุคของทรัมป์ ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯกับจีนและรัสเซียก็น่าจะกลับมาเป็นปกติแต่พอไบเดนขึ้นมาเป็นผู้นำสหรัฐฯ เราก็ถึงได้รู้ว่าที่ทรัมป์ทำไปในช่วง 4 ปีที่เป็นประธานาธิบดีนั้น แกแสดงไปตามบทของลิเกสงครามเย็นยุคใหม่ ตอนนี้มั่นใจแล้วว่าไบเดนและคณะบริหารสหรัฐฯรับลิเกบทนี้ต่อจากทรัมป์ เราจึงได้เห็นกลุ่มพันธมิตรตะวันตกทั้งสหรัฐฯ แคนาดา อังกฤษ และสหภาพยุโรป พร้อมใจกันสอดส่ายสายตาหาเรื่องลบมาเล่นงานทั้งจีนและรัสเซียทั้งที่รู้ว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์จีนไม่บ้าพอที่จะเอาเงินหรือไปซื้อทรัพย์สินในสหรัฐฯและโลกตะวันตก แต่เมื่อ 22 มีนาคม 2564 กระทรวงการคลังและกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯก็ออกแถลงการณ์ร่วมกันว่า อาศัยอำนาจตามคำสั่งฝ่ายบริหารของสหรัฐฯและอาศัยกฎหมายแมกนิตสกี ฉบับแก้ไข ค.ศ.2016 เราขอขึ้นบัญชีดำเจ้าหน้าที่ระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์จีน 2 คน ข้อหากดขี่พลเมืองชาติพันธุ์ในเขตปกครองซินเจียงอุยกูร์กระทรวงต่างประเทศของอังกฤษซึ่งเป็นคอหอยลูกกระเดือกกับสหรัฐฯ ของสหภาพยุโรป และของแคนาดา ก็ออกมาประกาศขึ้นบัญชีดำเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีนคล้ายกัน เรื่องนี้ไม่มีอะไรเลยครับ สิ่งที่พวกนี้น่าทำมากกว่าคือการขึ้นบัญชีดำอดีตผู้นำสหรัฐฯ อังกฤษ และแคนาดา ข้อหาทำอาชญากรรมอันเป็นการทำลายล้างเผ่าพันธุ์ ทำอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ทำอาชญากรรมสงคราม และทำอาชญากรรมอันเป็นการรุกรานต่ออิรัก อิหร่าน ซีเรีย และอัฟกานิสถานในอดีตฟังคำแถลงการณ์แล้วก็สะอิดสะเอียน หลอกได้แต่คนไม่รู้ แต่คนที่รู้เช่นเห็นชาติที่ตามข่าวการเมืองระหว่างประเทศมาเป็นเวลานาน ไม่มีใครบ้าจี้เชื่อตามพวกเอ็งด้วยดอกค.ศ.1949 สหรัฐฯเป็นผู้นำจัดตั้งองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือ NATO เพื่อให้เป็นองค์กรความร่วมมือทางทหารซัดกับสหภาพโซเวียต เวลาผ่านไป 72 ปี เรื่องมันจบไปนานแล้ว ไอ้บ้าพวกนี้ยังไปขุดผีสงครามเย็นขึ้นมาเล่นกันอีก24 มีนาคม 2564 นายบลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ไปพูดที่กรุงบรัสเซลส์ว่า ประธานาธิบดีไบเดนต้องการฟื้นฟูความเป็นพันธมิตรและหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์กับสมาชิกนาโตทั้ง 30 ประเทศ เพื่อให้สามารถต้านความท้าทายทางทหารของรัสเซียและจีน ซึ่งทั้ง 2 ประเทศต้องการทำลายเสถียรภาพด้านความมั่นคงทางการทหารของนาโตและของโลกตะวันตกจีนกับรัสเซียก็ไม่เคยอยู่เฉย สมัยที่สหรัฐฯและพวกตั้ง NATO เมื่อ ค.ศ.1949 สหภาพโซเวียตก็ตอบโต้ด้วยการตั้งองค์การสนธิสัญญาวอร์ซอเมื่อ ค.ศ.1955 มาถึงสมัยนี้ จีนกับรัสเซียก็มีองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้และองค์กรความร่วมมืออื่น เอาไว้ซัดพวกนาโตกลับเหมือนกันสงครามเย็นยุคใหม่เกิดขึ้นมาอีกแล้วนะ รู้ยัง?นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัยsonglok1997@gmail.com