กลายเป็นประเด็นที่น่าสนใจ กรณีบริษัทแพลตฟอร์มเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ “เฟซบุ๊ก” ของสหรัฐฯ เดินหน้าท้าชนกับ “รัฐบาลออสเตรเลีย” หลังไม่พอใจกับร่างกฎหมายช่วยเหลือธุรกิจสื่อท้องถิ่นตัดสินใจสั่งปิดการโพสต์การแชร์ข่าวสารในออสเตรเลีย ทั้งจากสื่อกระแสหลักและสื่อนานาชาติ รวมถึงยกเลิกการเด้งฟีดข่าวจากสำนักข่าวในออสเตรเลียแต่ความเสียหายไม่ได้หยุดแค่นั้น กลับกลายเป็นว่า เพจของกระทรวง ทบวง กรม ไปจนถึงองค์กร มูลนิธิต่างๆ กลับโพสต์ข้อมูลอะไรไม่ได้อยู่นานหลายชั่วโมงเช่นกัน ยิ่งกระทรวงสาธารณสุขออสเตรเลีย ออกมาโวยวายหนัก ว่าการเผยแพร่ข่าวสารที่จำเป็นในช่วงสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ทำไมจึงถูกปิด มันใช่เรื่องหรือเปล่า แต่แน่นอนการกระทำอย่างหลังที่เหมือนกับการสั่งสอนกลายๆ ทางเฟซบุ๊กยอมรับแล้วว่าดำเนินการผิดพลาดทั้งนี้ เรื่องราวต้องย้อนกลับไปเมื่อปี 2561 คณะกรรมการการแข่งขันทางธุรกิจและผู้บริโภคแห่งชาติ (ACCC) เริ่มสงสัยว่าบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่จากต่างชาติ มีผลกระทบต่อธุรกิจสื่อมวลชนท้องถิ่นและการโฆษณามากน้อยแค่ไหน เพราะระยะหลังการยิง Ads ค้าขายต่างๆ ส่วนใหญ่อยู่บนแพลตฟอร์มออนไลน์ทั้งสิ้นและปรากฏก็ต้องเจอกับความจริงที่น่าตกใจ กลายเป็นว่าเงินค่าโฆษณาต่างๆทุกๆ 100 ดอลลาร์ออสเตรเลียนั้น (2,342 บาท) ตกเป็นของ “เฟซบุ๊ก” กับ “กูเกิล” ไปถึง 81 ดอลลาร์ออสเตรเลีย (1,897 บาท) เรียกง่ายๆว่าเงินที่สมควรหมุน เวียนในประเทศ ได้ไหลออกไปยังบริษัทต่างชาติเกือบหมด ขณะที่ตัวเลขรายได้ตลอดปีจากการขายโฆษณาของกูเกิลในออสเตรเลียอยู่ที่ 4,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เฟซบุ๊ก 673.9 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 124,700 ล้านบาท และ 19,543 ล้านบาท ตามลำดับ จึงมีการออกคำแนะนำว่า รัฐบาลต้องทำอะไรสักอย่าง และเป็นที่มาของการร่างกฎหมายฉบับใหม่ (ซึ่งอยู่ในขั้นตอนวุฒิสภาแล้ว) ที่จะบังคับให้บริษัทแพลตฟอร์มเทคโนโลยีต่างๆ ต้องจ่ายเงินให้แก่บริษัทสื่อมวลชนของออสเตรเลีย จากการที่ดึงคอนเทนต์ของสำนักข่าวนั้นๆไปขึ้นฟีด เผยแพร่บนแพลตฟอร์มของตัวเองโดยการเจรจาว่าจะจ่ายเท่าไร ให้มีการส่งตัวแทนมาหารือกับสื่อแต่ละสำนัก หรือจะเจรจาผ่านสมาคมสื่อก็ได้ แต่ถ้าเจรจาไม่ลงตัว ทางรัฐบาลออสเตรเลียจะตั้งคณะกรรมการไกล่เกลี่ยเรื่องนี้ให้ ว่าบริษัทแพลตฟอร์มต่างชาติ ควรจ่ายเท่าไรถึงจะเหมาะสมยุติธรรม ในการเอาข่าวของเขาไปใช้สร้างรายได้ก่อนหน้านี้ ทางกูเกิลแสดงท่าทีแข็งขืนว่า หากกฎหมายใหม่จะมีการบังคับใช้ก็อาจจะถอนการให้บริการค้นหาข่าวของกูเกิลในออสเตรเลีย เวลาเสิร์ชไปก็จะพบแต่ข่าวของสื่อต่างประเทศ ไม่เห็นข่าวจากพื้นที่ท้องถิ่นแต่อย่างใด กระนั้น ก็ยอมเปลี่ยนท่าทีบ้างแล้วในที่สุด ประกาศโครงการซื้อข่าวจากสำนักข่าวทั่วโลกในงบประมาณเบื้องต้น 1,000 ล้านดอลลาร์ (29,000 ล้านบาท)และตกลงที่จะจ่ายเงินให้สื่อออสเตรเลีย เริ่มจากเครือนิวส์ คอร์ป กลุ่มหนังสือพิมพ์เดอะ ซัน เดอะ ไทมส์ เดอะ ออสเตรเลียน ในปริมาณที่เหมาะสม ก่อนทยอยเจรจาต่อๆไปอย่างไรก็ตาม สำหรับเฟซบุ๊กกลับกลายเป็นหนังคนละม้วน ผู้ใช้งานเป็นประจำต้องลืมตาตื่นขึ้นมาในเช้าวันที่ 18 ก.พ. และพบกับเฟซบุ๊กที่ไร้ข่าวสารบ้านเมือง จนสกอตต์ มอร์ริสสัน นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ควันออกหู ประกาศว่า การถูกอันเฟรนเลิกเป็นเพื่อนครั้งนี้ ถือเป็นการแสดงความหยิ่งผยองอันน่าผิดหวัง และรัฐบาลจะไม่ยอมแพ้ต่อการคุกคามจากการปิดกั้นข่าวสาร ทั้งเริ่มหารือกับผู้นำประเทศอื่นๆ แล้วในเรื่องนี้มีกลุ่มนักวิเคราะห์มองว่า รัฐบาลแคนาดา หรือสหภาพยุโรป กำลังจับตาสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด และมีความเป็น ไปได้ที่อาจเดินรอยตามกฎหมายของออสเตรเลีย เลยไม่แปลกที่เฟซบุ๊กต้องแสดงท่าทีว่าตัวเองยังเป็น “คนคุมเกม” และความพยายามใดๆของรัฐบาลที่จะเข้ามาแทรกแซง กำหนดกฎเกณฑ์ที่ขวางทิศทางของบริษัทจะต้องรับกับผลลัพธ์ที่ตามมากระนั้น การแสดงบทบาทวัวลืมตีนของเฟซบุ๊กครั้งนี้ ดูเหมือนจะส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์หรือไม่ เพราะเริ่มมีกลุ่มสิทธิมนุษยชนออกมาวิจารณ์ว่า การตัดข้อมูลข่าวสาร ถือเป็นการตัดสินใจที่อันตราย ทั้งมองได้ว่าเป็นการส่งเสริมให้ข่าวปลอมยิ่งแพร่สะพัด ขณะที่เสียงจากผู้ใช้ทั่วไประบุว่า ลองค้นหาคำว่าวัคซีนในเฟซบุ๊ก และพบว่าสิ่งที่ปรากฏขึ้นมา มีแต่เรื่องราวการตั้งข้อสงสัยว่าการแพร่ระบาดของไวรัสครั้งนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่ พร้อมมองว่าในเมื่อเฟซบุ๊กกำหนดผู้ใช้ได้เช่นนี้ แล้วต่อไปจะควบคุมอะไรอีกอีกทั้งเป็นการเปิดโอกาสให้คู่แข่งถล่มซ้ำเช่นกัน เพราะอย่าง “ไมโครซอฟท์” เคยแสดงจุดยืนไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า เราสนับสนุนร่างกฎหมายของออสเตรเลีย ที่ต้องการแก้ไขปัญหาเรื่องความไม่เสมอภาคของอำนาจต่อรอง ระหว่างแพลตฟอร์มดิจิทัลกับธุรกิจสื่อสาร มวลชนในออสเตรเลียงานนี้ใหญ่ด้วยกันทั้งคู่ แต่คนนึงยอมเจรจาไปแล้ว ส่วนอีกคนนึงยอมหักไม่ยอมงอ ผลลัพธ์ของการตัดสินใจจะส่งผลเช่นไรต่อไป โปรดติดตามชมอย่างใกล้ชิดครับผม.วีรพจน์ อินทรพันธ์