การแบนพาราควอตที่ผ่านมา 9 เดือน ยังไม่สามารถหาสารตัวใดทดแทนได้ จนเริ่มส่งผลกระทบต่อการผลิตสินค้าเกษตรไทย ดร.จรรยา มณีโชติ นายกสมาคมวิทยาการวัชพืชแห่งประเทศไทย และ ดร.ชัยภัฏ จันทร์วิไล ประธานเครือข่ายการใช้เคมีปลอดภัยเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนแห่งประเทศไทย (NSCU) ระบุไว้ชัดเจนในเวทีสัมมนากลุ่มย่อย ที่จัดโดย กลุ่มอุตสาหกรรมเคมี สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยผลผลิตรวมลดลง เนื่องจากพืชประธานถูกแย่งสารอาหารและน้ำโดยวัชพืช จากการประมาณการพบว่า ผลผลิตจะหายไปจากพืชเศรษฐกิจหลักถึง 97 ล้านตัน คิดเป็นรายได้ของเกษตรกรที่จะหายไปกว่า 200,000 ล้านบาท เนื่องจากเกษตรกรจำเป็นต้องพึ่งพาแรงงานกำจัดวัชพืช ทำให้ต้นทุนการกำจัดวัชพืชจะสูงขึ้นโดยเฉลี่ยไร่ละ 2,200 บาทต่อปี หรือ ต้นทุนเพิ่มขึ้นถึง 1,120% ส่วนการใช้เครื่องจักรกลการเกษตร เกษตรกรส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าถึงได้ เพราะราคาสูง และบางพื้นที่ไม่เหมาะกับการใช้เครื่องจักรกล ทำให้เกษตรกรอาจตัดสินใจเลิกอาชีพเกษตรกรรม ส่งผลให้อุตสาหกรรมการเกษตรต่อเนื่องและแปรรูปประสบปัญหาปิดกิจการ เกิดการเลิกจ้าง ต้นทุนและราคาอาหารสูงขึ้น กระทบถึงผู้บริโภคและยังมีความเสี่ยงที่ตลาดมืดขายสารเคมีจะขยายตัว ด้วยขณะนี้ราคาขายพาราควอตสูงกว่าเดิม 2 เท่า ภาครัฐไม่สามารถดูแลและกำหนดมาตรฐานได้ ทำให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อมตามมา ส่วนบริษัทหรือร้านค้าที่ครอบครองพาราควอต ยังไม่ได้รับความชัดเจนเรื่องการส่งทำลาย ค่าใช้จ่ายในการทำลายประมาณการเบื้องต้น มูลค่าการส่งออกจะสูญเสียไป 41.46 ล้านตัน (43% ของปริมาณสินค้ารวม) มูลค่ากว่า 2.5 แสนล้านบาท (16% มูลค่าการส่งออกรวม) คิดเป็นการสูญเสียกว่า 19% ของจีดีพีภาคการเกษตร อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล...ชาวไร่อ้อยต้องหันมาใช้กลูโฟซิเนต ที่ราคาสูงกว่าประสิทธิภาพต่ำกว่า ทำให้ผลผลิตหายไป 20-50% ความสูญเสียรวม 50,000-150,000 ล้านบาท และยังส่งผลให้ปริมาณอ้อยที่ตัดได้ต่อวันลดลงจาก 40,000-50,000 ตัน เหลือเพียง 20,000 ตัน เนื่องจากมีวัชพืชงอกขึ้นมากเป็นอุปสรรคต่อการตัดอ้อยอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันและผลิตภัณฑ์...ผลผลิตหายไป 20% ความสูญเสียรวมมูลค่า 37,000 ล้านบาท เนื่องจากกำจัดวัชพืชได้ไม่หมด จึงต้องใส่ปุ๋ยเพิ่ม เพื่อบำรุงต้นและผล ทำให้ต้นทุนเพิ่มอุตสาหกรรมยางพาราและผลิตภัณฑ์...ผลผลิตหายไป 10% ความสูญเสียรวมคิดเป็นมูลค่า 130,000 ล้านบาท ยังไม่รวมโรคใบร่วงที่กำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน อุตสาหกรรมมันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์...ผลผลิตหายไป 50% ความสูญเสียมูลค่า 18,000 ล้านบาท เกษตรกรต้องใช้กลูโฟซิเนตแทน เกษตรกรต้องใช้ปริมาณมากจึงกำจัดวัชพืชได้ ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น แต่กลูโฟซิเนตสามารถดูดซึมเข้าสู่รากส่งผลต่อการเติบโตของหัวมันสำปะหลังอุตสาหกรรมข้าวโพดหวาน ผลิตภัณฑ์ และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์...ข้าวโพดหวานผลผลิตหาย 38% ความสูญเสีย 4,000 ล้านบาท ส่วนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ผลผลิตหาย 40% ความสูญเสียมูลค่า 30,000 ล้านบาท.