เปิดฟ้าส่องโลกฉบับวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2564 รับใช้ผู้อ่านท่านที่เคารพถึงกรณีที่นายปีเตอร์ เบน เอมบาเรค เป็นหัวหน้าคณะผู้เชี่ยวชาญองค์การอนามัยโลกลงพื้นที่สอบสวนตลาดหัวหนาน แหล่งค้าสัตว์ป่าและอาหารทะเล ที่ทั่วโลกตะโกนด่าว่า ที่นี่คือแหล่งกำเนิดการแพร่ระบาดไวรัสสายพันธุ์ใหม่ 2019คณะของนายเอมบาเรคใช้เวลานานที่สถาบันไวรัสวิทยาอู่ฮั่น ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยเพื่อศึกษาไวรัสหลังเกิดการแพร่ระบาดของโรคซาร์ส (SARS) ช่วง พ.ศ.2545-2546 รวมทั้งลงพื้นที่สอบสวนตามห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์และศูนย์ควบคุมโรคที่นครอู่ฮั่น หลังจากนั้นก็ประกาศว่า “ไม่พบว่ามีการระบาดของโควิด-19 เป็นวงกว้างในจีน ก่อนที่จะพบไวรัสชนิดนี้ในนครอู่ฮั่นในเดือนธันวาคม 2562” “ข้อกล่าวหาที่ว่าเชื้อโควิด-19 หลุดจากห้องทดลองของจีนเป็นเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้” และ “ทีมงานของข้าพเจ้าขอตัดเรื่องนี้ จะไม่สืบสวนประเด็นนี้ต่อไปอีกแล้ว”แม้ว่าองค์การอนามัยโลกจะออกมานั่งยันยืนยันว่า โควิด-19 ไม่น่าจะมีจุดกำเนิดจากนครอู่ฮั่น ทว่าเจ้าหน้าที่สหรัฐฯก็ไม่เชื่อ แถมยังบอกว่าอยากให้การเผยแพร่รายงานการตรวจสอบโรคขององค์การอนามัยโลกเป็นไปอย่างอิสระ โปร่งใส ไม่อยู่ใต้อิทธิพลทางการเมืองของจีนเขียนให้เข้าใจง่ายก็คือ สหรัฐฯไม่เชื่อรายงานขององค์การอนามัยโลก แล้วก็ยังย้ำๆซ้ำๆชี้นิ้วว่าโควิด–19 แพร่ระบาดจากจีน ทำให้จีนออกแถลงการณ์โต้ตอบสหรัฐฯว่าสหรัฐฯควรยึดมั่นในมาตรฐานและให้การสนับสนุนต่อการทำงานขององค์การอนามัยโลกทรัมป์นำสหรัฐฯลาออกจากการเป็นสมาชิกขององค์การอนามัยโลก แต่พอมาถึงยุคไบเดน สหรัฐฯก็จะกลับมาเป็นสมาชิกองค์กรนี้อีกครั้งหนึ่ง จีนบอกว่า “อ้า ยินดีที่จะกลับเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ แต่สหรัฐฯต้องเข้าใจนิดนึงนะ ว่าอนามัยโลกเป็นองค์กรสากลที่มีความน่าเชื่อถือ ไม่ใช่องค์กร (เด็กเล่น) ที่ใครจะเข้าออกได้ตามอำเภอใจ สิ่งที่สหรัฐฯมีพฤติกรรมทำมาในช่วงหลายปีนี่ก็คือ การบ่อนทำลายองค์กรสากลหลายแห่ง รวมทั้งทำลายองค์การอนามัยโลกด้วย ที่สุดของที่สุดก็คือ สหรัฐฯได้ทำลายความร่วมมือของนานาอารยประเทศที่ร่วมกันต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโควิด-19”ฟังแถลงการณ์ของสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำสหรัฐฯแล้ว ก็นึกสงสารสหรัฐฯที่ในอดีตเป็นอภิพญามหาอำนาจ ทว่าพอมาวันนี้ สหรัฐฯกลายเป็นไอ้หนูน้อยต้อยติ่งหิ่งห้อยน้อยนิดติ๊ดชึ่งซึ่งต้องมานั่งฟังท่านผู้ใหญ่ตักเตือนพฤติกรรมความประพฤติถ้าผมเป็นรัฐบาลสหรัฐฯก็คงจะหน้าชา เมื่อได้ยินจีนพูดว่า “สหรัฐฯต้องปฏิบัติหน้าที่จริงใจ โปร่งใส และรับผิดชอบ เพื่อสนับสนุนการทำงานขององค์การอนามัยโลกอย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงสหรัฐฯควรให้ความร่วมมือกับประชาคมโลกในการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด–19”อเมริกันบางท่านอาจจะมองจีนซึ่งเป็นประเทศเอเชียอย่างดูหมิ่นถิ่นแคลน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ทรัมป์มีอำนาจวาสนาอยู่ในตำแหน่งประธานาธิบดี ตอนที่มีสตรีอเมริกันเชื้อสายเอเชียพยายามจะกระเถิบเขยิบสถานะขึ้นเป็นรองประธานาธิบดีของสหรัฐฯ โอ้โห ตอนนั้นทรัมป์พูดจาถากถางดูถูกนางกมลา แฮร์ริส น่าดูไม่อยากจะยกคำพูดมากมายหลายประโยคของทรัมป์ที่เหยียดนางแฮร์ริส แต่อยากจะบอกกับทรัมป์และคนที่ดูถูกสตรีอเมริกันเชื้อสายเอเชียว่า ขอให้คุณหลับตาจินตนาการถึงเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นใน พ.ศ.2567ไบเดนจะหมดวาระการเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯด้วยวัย 82 ปี ถ้าไบเดนบอกว่า อ้า ข้าแก่แล้ว ข้าไม่ลงสมัครประธานาธิบดีต่อแล้ว ผมเชื่อว่า นางแฮร์ริสคนที่มีเชื้อสายเอเชียอินเดียคนนี้นี่แหละครับ อาจจะกลายเป็นผู้สมัครประธานาธิบดีในนามพรรคเดโมแครตต่อจากไบเดนถ้าทรัมป์ต้องการจะดิสเครดิตความเป็นเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นประเทศ (จีน) หรือเชื้อสายเผ่าพันธุ์ดั้งเดิมของนางแฮร์ริส (อินเดีย)ก็อยากบอกว่าทรัมป์คิดผิดครับ.นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัยsonglok1997@gmail.com