ผ่านพ้นมาเกือบสองเดือน “ประเทศไทย” กลับต้องมาเผชิญ “วิกฤติโควิด-19 ระลอกใหม่” จวบจนวันนี้มี “ตัวเลขผู้ป่วยสะสมพุ่งทะลุ 2 หมื่นคน” ตามผลคัดกรองเชิงรุกในพื้นที่ “สมุทรสาคร กรุงเทพฯ และปริมณฑล” ที่เป็นจังหวัดมีการติดเชื้อมากที่สุดในขณะนี้ดังนั้น “มาตรการควบคุมโรคระบาด” ให้อยู่ในวงจำกัดย่อมจำเป็นสำคัญยิ่ง ด้วยการ “ตีกรอบล้อมไวรัส” ประคับประคองกระชับพื้นที่ไม่ให้ระบาดออกไปพื้นที่อื่น เพื่อชะลอจนกว่า “วัคซีนโควิด-19” พระเอกในเรื่องนี้เข้ามาคลี่คลายสถานการณ์ ท่ามกลาง “วัคซีน” ถูกพัฒนาขึ้นมาอย่างเร่งรีบค่อนข้างมีอยู่จำกัดต้นเหตุมีปัจจัย “ขั้นตอนผลิต” ต้องผ่านการศึกษาตรงตามมาตรฐานสากล ทั้งด้านความปลอดภัย และประสิทธิภาพ ทำให้มีข้อจำกัดค่อนข้างมาก ไม่สามารถผลิตแจกจ่ายให้เพียงพอต่อความต้องการครบทุกประเทศเรื่องนี้ดูเหมือนว่า “คนไทย” ยังพอมีโชคได้เห็น “แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์” อยู่เช่นกัน เมื่อ ครม.อนุมัติงบกลางราว 2.7 พันล้านบาท จองซื้อวัคซีนล่วงหน้าจากบริษัท แอสตราเซเนกา จำกัด และถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด เพื่อให้ประเทศไทยสามารถผลิตวัคซีนใช้ได้เองตอกย้ำ...“ความมั่นคงของประเทศ” ไม่ต้องรอวัคซีนจากต่างประเทศ ที่ไม่มีความแน่นอน ภายใต้โครงการจัดหาวัคซีนโควิด-19 สำหรับคนไทย ในกรอบวงเงิน 6,216 ล้านบาท เพื่อประชาชนได้ใช้ชีวิตอย่างมั่นใจ “ปลอดภัยห่างไกลจากโรคระบาด” ที่เป็นตัวช่วยหนุนเศรษฐกิจฟื้นฟูดีขึ้นได้เบื้องต้นคร่าวๆ...อนุคณะกรรมการอำนวยการการใช้วัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข มีมติฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มเป้าหมายแรก 19 ล้านคน ตามวัตถุประสงค์ลดการป่วยหนัก และป้องกันการเสียชีวิต คือ กลุ่มแรก...บุคลากรทางการแพทย์ และสาธารณสุขด่านหน้า ทั้งภาครัฐ และเอกชน กลุ่มสอง...บุคคลมีโรคประจำตัว กลุ่มสาม...ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป กลุ่มสี่...จนท.ควบคุมโรคมีโอกาสสัมผัสผู้ป่วยในพื้นที่ระบาด ศ.นพ.มานพ พิทักษ์ภากร หน.ศูนย์วิจัยเป็นเลิศด้านการแพทย์แม่นยำ ศูนย์จีโนมิกส์ศิริราช คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล บอกว่า สถานการณ์การระบาดระลอกใหม่มีแนวโน้มคลี่คลายขึ้นเรื่อยๆแม้ว่า “ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19” มีแนวโน้มคงอยู่ที่ระดับ 700- 900 รายต่อวัน ที่อาจเป็นจำนวนน่าตกใจก็ตาม แต่ถ้ามองในเชิง “พื้นที่แพร่ระบาด” สังเกตได้ว่าตัวเลขการติดเชื้อกระจุกอยู่เฉพาะพื้นที่สีแดง เช่น จ.สมุทรสาคร กรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นหลัก ในส่วนพื้นที่เคยระบาดก่อนหน้านี้กลับไม่มีตัวเลขเพิ่มขึ้นแล้วด้วยซ้ำแสดงให้เห็นว่า...“โดยภาพการแพร่ระบาดทั่วประเทศ” หน่วยงานสาธารณสุขสามารถควบคุมให้อยู่ในวงจำกัดได้หมดแล้ว ทำให้ต้องล้อมกรอบเฉพาะ จ.สมุทรสาคร กรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่คงมี “ผู้ติดเชื้อเป็นชาวเมียนมา” ลักษณะกลุ่มผู้มีอายุน้อยชั้นแรงงานแข็งแรง ทำให้มักติดเชื้อไม่มีอาการจำนวนมากอยู่เช่นเดิมแต่ก็ไม่เกี่ยวกับกระแสว่า “แรงงานเมียนมา” มีชาติพันธุ์ลักษณะพิเศษ “ติดไวรัส” ที่สามารถเก็บอาการป่วยไม่แสดงได้ เพราะยังมีตัวเลข “ผู้ป่วยอาการหนัก” เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเกิดขึ้นอยู่ 1-3%...และมีคำถามต่อว่า...พื้นที่จังหวัดอื่นเคยระบาดไม่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ เพราะไม่สุ่มตรวจคัดกรองหรือไม่ เรื่องนี้ “คงไม่ใช่” เพราะถ้ามีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในชุมชนแล้วอย่างน้อยต้องมี “ผู้ล้มป่วยแสดงอาการ” ออกมาให้เห็นอยู่บ้างแน่นอน แต่ตอนนี้กลับไม่ปรากฏว่า “มีผู้ป่วยรายใหม่” เกิดขึ้น ยกเว้น “พื้นที่สีแดง” ที่กล่าวไปแล้วนั้นส่วนเรื่อง...“หน่วยงานสาธารณสุข” ตรวจคัดกรองตามโรงงาน “พื้นที่สีแดง” ลักษณะสุ่มเก็บตัวอย่าง 50-100 รายนั้น เพราะต้องการตรวจโรงงานเป้าหมายเบื้องต้น หากมีผู้ติดโควิด-19 ในโรงงานเพียงหนึ่งคนเชื้อไวรัสมักแพร่กระจายเป็นวงกว้างเสมอ ดังนั้นการสุ่มตรวจนี้สามารถการันตีผลไม่ให้ผู้ติดเชื้อหลุดรอดได้แน่นอนเมื่อปรากฏพบ “ผู้ติดเชื้อ” ก็จะทำการตรวจคัดกรองครอบคลุมทั้งโรงงานอยู่แล้ว เพราะ “แรงงานต่างด้าวถูกต้องตามกฎหมาย” มักมีหลัก “การซื้อประกันสุขภาพ” ในการรับสวัสดิการคุ้มครองตรวจโควิด-19 ฟรี แต่ถ้าไม่ซื้อประกันสุขภาพ เชื่อว่า “ผู้ประกอบการ” ยอมจ่ายค่าตรวจคัดแยกผู้ติดเชื้อออกจากคนปกติ เพื่อให้กิจการดำเนินต่อไปได้ ด้วยเหตุสำคัญจ่ายค่าตรวจคัดกรองนี้ “น้อยกว่าค่าเสียหาย” ที่ต้องถูกปิดกิจการด้วยซ้ำประการต่อมา...“รูปแบบการติดเชื้อสัมผัสสิ่งของ” เช่น โต๊ะ เก้าอี้ ธนบัตร กระดาษ หรือพัสดุอื่นๆสามารถเกิดขึ้นได้ แต่เป็นการศึกษาวิจัยในปี 2563 ทำให้ประชาชนแตกตื่นกันทุกครั้ง เมื่อมีไทม์ไลน์ผู้ติดโควิด-19 เข้าใช้บริการสถานที่นั้น เช่น สถานบันเทิง ร้านอาหาร ห้างฯ ที่ต้องทำบิ๊กคลีนนิ่งเดย์ หรือฉีดพ่นสารเคมีฆ่าเชื้ออยู่เสมอ ข้อมูลวันที่ 3 ก.พ.2564 มีบทความวิชาการตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์นานาชาติ ระบุชัดการฉีดพ่นฆ่าเชื้อโควิด-19 ที่เกาะติดบนผิวสิ่งของวัตถุนี้เป็นการทำโดยเสียค่าใช้จ่ายเปล่าประโยชน์ เพราะนับแต่มีการระบาด 1 ปีมานี้ สาเหตุการระบาดติดเชื้อกันมักเกิดมาจากการไอ จาม และสูดดมละอองฝอยเชื้อเข้าสู่ร่างกายทั้งสิ้นแต่ว่า...“การติดเชื้อจากการสัมผัสหยิบจับวัตถุ” มักเกิดขึ้นเฉพาะผลการศึกษางานวิจัยในการเก็บตัวอย่าง “สถานที่ผู้ป่วยสัมผัสบนพื้นผิว” นำมาตรวจในห้องแล็บหาเชื้อ ทำให้เจอสารพันธุกรรมโควิด-19 ติดวัตถุอยู่เสมอ แต่เป็น “ซากเชื้อตาย” ไม่มีพิษสงสามารถติดต่อได้แล้ว ในทางปฏิบัติโอกาสติดต่อลักษณะนี้เป็นไปได้น้อยมากเช่นนี้ “ประชาชน” ไม่จำเป็นต้องตระหนกมากเกินไป เพราะใน 1 ปีมานี้มีข้อมูลชัดเจนว่า “การติดเชื้อกัน” มักมีการสัมผัสผ่านการพูดคุยกันอย่างใกล้ชิด แต่ไม่มีรายงานการติดต่อจากการหยิบจับสิ่งของวัตถุเลย ดังนั้นในบางคนก็ไม่ต้องกลัวถึงขนาดว่า ถ้ามีการหยิบจับธนบัตรแล้วต้องพ่นฆ่าเชื้อด้วยแอลกอฮอล์อยู่ตลอดเสมอไปฝากถึงผู้นิยมรับ-ส่งสินค้าผ่านระบบขนส่งมวลชน ให้สบายใจได้ถ้ากังวลอยู่ก็ล้างมืออีกก็ได้ประเด็น...“เรื่องวัคซีนโควิด-19” มีความก้าวหน้าในการศึกษาวิจัยกับคนในเฟส 3 และผลิตออกมาเป็นวัคซีนอย่างมีประสิทธิภาพตรงตามหลักเกณฑ์การป้องกันได้ไม่ต่ำกว่า 50% คือ ไฟเซอร์ โมเดอร์นา แอสตราเซเนกา จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน โนวาแวกซ์ และสปุตนิก ในด้าน “วัคซีนของจีน” ยังไม่มีผลสรุปเฟส 3 เช่นเดิมในส่วน “ประเทศไทย” มีการอนุมัติจัดซื้อ “วัคซีนแอสตราเซเนกา” ไปแล้ว แม้ก่อนหน้านี้จะมีรายงานผลข้างเคียงทำให้ “ผู้สูงอายุเสียชีวิต” เมื่อมีการสืบสวนสาเหตุพบว่า “การเสียชีวิตนี้ไม่เกี่ยวกับวัคซีน” ดังนั้น “แอสตราเซเนกา” ยังมีประสิทธิภาพความปลอดภัยสูง แต่ก็มีโอกาสเกิดผลข้างเคียงได้ 1 ในแสนรายได้ ทว่า...“ประเทศไทยรับวัคซีนแล้ว” กลุ่มบุคคลใดจะได้รับชุดแรกนี้ต้องอยู่กับ “นโยบายรัฐบาล” มีจุดประสงค์ป้องกันแบบใด ที่แบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ กลุ่มแรก...ป้องกันบุคคลป่วยหนัก ก็ต้องฉีดให้กับผู้สูงอายุ หรือผู้มีโรคประจำตัว กลุ่มสอง...ป้องกันเชื้อกระจายง่าย ต้องฉีดให้ในกลุ่มปฏิบัติงานด่านหน้าเฝ้าระวังโควิด-19และ “บุคคลวัยกลางคน” ที่มักเกิดการระบาดค่อนข้างสูง เช่น “ประเทศตะวันตก” เน้นลดการเสียชีวิตก็ต้องการฉีดให้ “ผู้สูงอายุ หรือผู้มีโรคประจำตัว” ในส่วน “อินโดนีเซีย” มุ่งตัดตอนการระบาดได้ดีก็ควรฉีดให้ “กลุ่มประชากรวัยกลางคน” มีอายุระหว่าง 20-50 ปี ที่เป็นกลุ่มใช้ชีวิตทั่วไป ทำให้มีความเสี่ยงสัมผัสโรคได้ง่ายดังนั้น “กลุ่มใดได้ฉีดวัคซีนก่อน หรือได้รับการฉีดหลัง” อาจต้องมีการประเมินความเหมาะสมให้สอดคล้องกับสถานการณ์ขณะนั้น เพราะสุดท้าย “ทุกคนต้องได้รับวัคซีน” เช่นเดิม เพื่อให้เกิดเป็นภูมิคุ้มกันหมู่อย่างมีประสิทธิภาพ ในส่วน “เด็กต่ำกว่า 18 ปี” ยังคงเป็น “หลุมดำ” ที่ไม่มีวัคซีนป้องกันโควิด-19 สำหรับเด็กทุกชนิดเช่นเดิมเพราะที่ผ่านมา “ขั้นตอนผลิตวัคซีน” มีการศึกษาเร่งด่วนฉุกเฉิน จึงไม่นำกลุ่มเปราะบางเสี่ยงสูงมาทดลองโดยไม่จำเป็น กลายเป็นเหตุผลการทดลองในเฟส 3 ต้องตัดกลุ่มเด็กออกทั้งหมด ทำให้ไม่มีข้อมูลความปลอดภัย เชื่อว่า เริ่มฉีดให้ประชาชน 3-6 เดือนไปแล้ว มีผลความปลอดภัยดี สุดท้ายต้องขยายมาฉีดให้เด็กดังเดิมย้ำว่าช้าหรือเร็ว...“วัคซีนโควิด-19” ต้องถูกนำมาใช้ในไทยแน่นอน ปัญหามีว่า “รัฐบาล” จะสื่อสารกับประชาชนให้มั่นใจ “ยอมรับวัคซีน” เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่อย่างไร เพราะยังมีคนลังเลใจรับบริการอยู่มาก อีกทั้งต้องมีแผนรับมือผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนด้วย ในการฉีดให้คนมากเช่นนี้โอกาสมี “คนแพ้วัคซีน” เกิดขึ้นแน่นอน...ท้ายสุดในอนาคตนี้...“โควิด-19” ต้องกลายเป็นไวรัสประจำถิ่น “ไม่มีวันตายไปจากโลก” ดังนั้น “ทุกคน” จำเป็นต้องพึ่งพา “วัคซีน” อยู่ตลอดแน่นอน...