ปฏิบัติการที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ เป็นการขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภา ทยอยออกมาเป็นระยะๆ หลังจากประสบความสำเร็จในการยื้อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามด้วยญัตติให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี ของฝ่ายค้าน ชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ เพราะอาจเกี่ยวกับสถาบันผู้ที่เป็นตัวตั้งตัวตีในญัตติใหม่ ก็คือนายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐหน้าเดิม น่าสงสัยทำไมจึงเพิ่งจะมายื่น หลังจากที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรได้กำหนดวันอภิปรายเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่วันที่ 16 ถึง 19 กุมภาพันธ์ จงใจล้มการอภิปรายหรือไม่? ทำไมจึงไม่ยื่นญัตติตั้งแต่วันแรกๆที่ทราบปัญหาแม้นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร จะยืนยันว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ยอมรับว่าที่ผ่านมาไม่เคยมีปัญหาเรื่องญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ “ที่ผ่านมา” อาจจะหมายถึงเวลากว่า 50 ปี ที่นายชวนอยู่ในสภา เคยเป็นทั้ง ส.ส. เป็นรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี และประธานสภาแม้แต่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค พปชร. ก็ยอมรับ อาจต้องเลื่อนเวลาการอภิปราย เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ญัตติที่กล่าวหานายกรัฐมนตรีใช้พระมหากษัตริย์เป็นเกราะ เพื่อ ปิดบังความล้มเหลว ในการบริหารประเทศ ของรัฐบาล ฝ่ายค้านยืนยันว่าเป็นการกล่าวหานายกรัฐมนตรี มิใช่สถาบันเป็นตัวอย่างหนึ่งของการขัดขวาง การปฏิบัติหน้าที่ของ ส.ส. ซึ่งมาจากเลือกตั้งเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย ในการตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐบาลคล้ายกับว่าต้องการให้ ส.ส.อยู่เฉยๆ เหมือนกับ “สภาตรายาง” จากแต่งตั้งอีกทั้งรัฐธรรมนูญก็แก้ไขยาก หรืออาจแก้ไขไม่ได้เลย ถ้าไม่ได้รับความเห็นชอบจาก ส.ว.เป็นบทบัญญัติที่คล้ายกับรัฐธรรมนูญของรัฐบาลทหารพม่า ไม่รู้ว่าใครลอกแบบใคร แต่น่าจะเป็นไทยลอกแบบพม่ามากกว่า เพราะของพม่าเป็นฉบับ 2551 ส่วนของไทย 2560 การแก้ไขรัฐธรรมนูญพม่า ต้องได้รับความเห็นชอบจากสมาชิกสภาที่ทหารแต่งตั้ง 25% ส่วนของไทยต้องให้ ส.ว. ที่คณะรัฐประหารแต่งตั้ง อย่างน้อย 84 คนต้องถือว่าเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดพิสดาร เพราะเสียงข้างน้อยที่มาจากแต่งตั้ง มีอำนาจเหนือ ส.ส. เสียงข้างมาก และมาจากเลือกตั้ง ของไทยต่างจากพม่าอย่างหนึ่ง คือผู้ขอแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลตามกติกาในรัฐธรรมนูญ อาจโดนข้อหา “ล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย”.