เมื่อวันที่ 10 ก.พ.64 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมสภา กทม.ที่อาคารไอราวัตพัฒนาศาลาว่าการ กทม. 2 ดินแดง ที่มี พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯ กทม. สมาชิกสภา กทม. และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม ที่ประชุมได้มีการอภิปรายถึงโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวของ กทม.ที่ล่าสุด กทม.ต้องเลื่อนประกาศใช้อัตราค่าโดยสารสูงสุดไม่เกิน 104 บาท ออกไปไม่มีกำหนด ตามนโยบายของรัฐบาลนายธวัชชัย ฟักอังกูร สมาชิกสภา กทม. อภิปรายว่า ภายหลังจากที่ กทม. ได้รับโอนโครงการสายสีเขียวจาก รฟม. ทำให้ กทม.ต้องจ่ายหนี้อีกกว่า 100,000 ล้านบาท ซึ่งการบริหารโครงการและการพิจารณาอัตราค่าโดยสาร ต้องไม่ให้ประชาชนเดือดร้อน ทั้งนี้ สถานะกำไรอาจเกิดขึ้นได้ในอีก 15 ปีข้างหน้า และภาระหนี้ยังไม่ได้กำหนดว่าจะสิ้นสุดเมื่อใด ดังนั้นจึงมีข้อเสนอแนวทางการชำระหนี้ โดยให้ กทม.ขอความช่วยเหลือจากรัฐบาล เนื่องจากโครงการรถไฟฟ้าเป็นการถ่ายโอนภารกิจมาให้ กทม.นายอภิรัตน์ ศิวพรพิทักษ์ สมาชิกสภา กทม. กล่าวว่า มีทางเลือกให้ กทม.ดำเนินการ ดังนี้1. กทม.ควรประมูลใหม่โดยดำเนินการตามสัญญาข้อ 27 โดย BTS จะเป็นรายแรกที่ได้รับโอกาสในการพิจารณา2. กทม.เลือกที่จะไม่ต่ออายุสัญญา โดยภายหลังหมดอายุสัมปทานในปี 2572 กทม.จะเป็นเจ้าของทรัพย์สินทั้งระบบ เป็นผู้บริหารจัดการโครงการทั้งหมดโดยจ้าง BTS3.ขยายสัมปทานให้ BTS เป็น 30 ปี (2572-2602) อย่างไรก็ตามทุกทางเลือกมีทั้งข้อดี ข้อเสีย และข้อจำกัดที่แตกต่างกัน ผลกระทบจะมีต่อการเดินรถไฟฟ้าทั้งระบบ ซึ่ง กทม.จำเป็นต้องเลือกทางเลือกใดทางเลือกหนึ่งทางด้าน พล.ต.อ.อัศวินกล่าวภายหลังการ ประชุมว่า วันนี้ กทม.ได้เสนอสภา กทม.ขออนุมัติเงิน กทม. ซึ่งมีประมาณ 50,000 ล้าน มาชำระหนี้ค่าจ้างเดินรถไฟฟ้าบีทีเอส แต่ที่ประชุมไม่อนุมัติ ส่วนเหตุผลที่เลื่อนการเก็บค่าโดยสารสายสีเขียว ไม่มีใครมากดดันทั้งสิ้น ตนเห็นว่า ช่วงนี้ประชาชนเดือดร้อนจากสถานการณ์โรคโควิด-19 ประกอบกับเอกชนให้ยื่นหนังสือทวงถามการชำระหนี้โดยให้เวลา 60 วัน คิดว่ายังมีเวลาระหว่างนี้จะเร่งดำเนินการให้จบภายใน 60 วัน ซึ่งจะครบกำหนดวันที่ 1 เม.ย.64 ส่วนที่ประชุมสภาเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาหนี้สายสีเขียว 3 แนวทาง ตนเห็นว่าแนวทางที่ 3 การขยายสัมปทานให้เอกชนเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ส่วนรายละเอียดการพิจารณาเรื่องสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่งเรื่องให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เสนอคณะรัฐมนตรีไปแล้ว ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคณะรัฐมนตรี.