ชาวเมียนมาหันหาแอปทางเลือก สื่อสารต่อต้านรัฐประหาร หลังถูกปิดกั้นบล็อกการเข้าถึงเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม และ WhatApps ทั้งพวง เผยรุมดาวน์โหลด Bridgefy แอปจากสตาร์ตอัพเม็กซิโก ที่สื่อสารผ่านบลูทูธ ไม่ต้องเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต แค่ 1 ชั่วโมงโหลดทะลุ 6 แสนสำนักข่าว South China Morning Post (SCMP) รายงานว่า หลังจากที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ Ministry of Communications and Information ของเมียนมา ได้สั่งปิดกั้นการเข้าถึงโซเชียลมีเดียชื่อดังอย่างเฟซบุ๊ก รวมทั้งบริการในเครืออันได้แก่ อินสตาแกรม (Instagram) และ WhatApps หลังการทำรัฐประหารเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ปรากฏว่าชาวเมียนมาต่างพากันแห่ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันทางเลือกที่ชื่อว่า Bridgefy ที่ให้บริการส่งข้อความแบบออฟไลน์ผ่านคลื่นบลูทูธ โดยภายใน 1 ชั่วโมง ชาวเมียนมาแห่ดาวน์โหลด Bridgefy เป็นจำนวนกว่า 600,000 ครั้ง ทำเอา Bridgefy ซึ่งเป็นสตาร์ตอัพจากเม็กซิโกต้องรีบทวีตข้อความตอบรับยอดดาวน์โหลดถาโถมของชาวเมียนมา ด้วยความยินดีที่ Bridgefy กลายเป็นเครื่องมือสื่อสารทางเลือกในยามคับขันSCMP รายงานเพิ่มเติมว่า Bridgefy ถูกใช้ในหลายประเทศที่มีการประท้วงทางการเมือง นำไปสู่การปิดกั้นการเข้าถึงอินเตอร์เน็ต รวมทั้งแพลตฟอร์มสื่อสารสมัยใหม่ จากทางรัฐบาล เริ่มที่ฮ่องกง ซึ่งผู้ประท้วงหันมาใช้ Bridgefy ที่ช่วยให้สามารถสื่อสารกันได้ โดยไม่ต้องเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต ไล่มาจนถึงการเคลื่อนไหวทางการเมืองต่อต้านรัฐบาลในประเทศไทย ก็ได้มีการใช้แอปนี้ด้วยเช่นกัน และล่าสุดการไม่ยอมรับรัฐประหารในเมียนมา ที่บรรดาแกนนำนักเคลื่อนไหวชี้เป้าให้ผู้ร่วมอุดมการณ์เดียวกันดาวน์โหลด Bridgefy ไว้ใช้สื่อสารระหว่างกันแทนBridgefy ซึ่งมี Biz Stone ผู้ร่วมก่อตั้ง Twitter อยู่เบื้องหลังนั้น ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆจากทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศที่มีประวัติปิดกั้นการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตและเครือข่ายโซเชียลมีเดีย แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญจะยังคงตั้งข้อสงสัยในประเด็นความปลอดภัยส่วนบุคคลของผู้ใช้อยู่ ทั้งนี้ หลังเกิดการรัฐประหารในเมียนมา และรัฐบาลทหารเห็นว่าเริ่มมีการเคลื่อนไหวในโซเชียลมีเดีย ตั้งแต่ทีมหมอและพยาบาลที่โพสต์ข้อความต่อต้าน รวมทั้งบรรดานักเคลื่อนไหวที่รณรงค์ตั้งกลุ่ม Civil Disobedience Movement ไม่ยอมรับการยึดอำนาจ โดยมีผู้ติดตามมากถึง 150,000 คนภายใน 24 ชั่วโมง จนนำไปสู่การประกาศปิดกั้นการเข้าถึงเฟซบุ๊กและบริการในเครือชั่วคราว จนถึงวันที่ 7 ก.พ.2564ขณะที่เฟซบุ๊กได้ประกาศให้เมียนมาเป็นพื้นที่เสี่ยงสูงสุดชั่วคราวเช่นกัน ซึ่งผลจากการประกาศดังกล่าว ทำให้เฟซบุ๊กมีมาตรการพิเศษสำหรับคอนเทนต์ในประเทศเมียนมา เช่น ลบข้อความหรือการสื่อสารที่บ่งชี้ถึงการระดมอาวุธ สรรพกำลัง เป็นต้น โดยปัจจุบันเมียนมามีคนใช้เฟซบุ๊กราว 23 ล้านคน หรือมากกว่าครึ่งหนึ่งของประชากรทั้งหมด 53 ล้านคน.