แอ่น แอน แอ๊น โผล่ข้างบ้าน ตามสัญญาณควันพวยพุ่งมา 2-3 วัน ล่าสุดยืนยันอย่างเป็นทางการกองทัพเมียนมาภายใต้การนำของ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้ทำการรัฐประหาร ยึดอำนาจรัฐบาลควบคุมตัว “อองซาน ซูจี” ผู้นำหญิงเหล็ก ไปคุมขัง “เคอร์ฟิว” แช่แข็งประเทศโดยอ้างข้อกล่าวหารัฐบาลพลเรือนโกงเลือกตั้ง ภายหลังจากพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (เอ็นแอลดี) ของนางซูจี คว้าชัยชนะเหนือพรรคการเมืองฝักใฝ่ทหารอย่างถล่มทลายในเดือนพฤศจิกายนปี 2563 ที่ผ่านมาตามอาการแบบที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ บอก งงกันทั้งโลกแต่เชื่อว่าประชาชนคนไทยไม่แปลกใจเท่าไหร่ ตามท้องเรื่องใกล้เคียงกันกับพม่า การขบอำนาจระหว่างรัฐบาลของนักการเมืองซีกประชาธิปไตย กับขุมข่ายทหารเฒ่าในกองทัพสลับกันขึ้นกอบโกยผลประโยชน์ทางการเมืองและเศรษฐกิจเชื้อร้าย “รัฐประหาร” ยังแฝงอยู่อย่างมีพลังในภูมิภาคอินโดจีน พร้อมโผล่มาตลอดเวลาพม่ากับไทยไม่รู้ใครลอกเลียนแบบใครที่แน่ๆ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้นี้ คือ “ลูกบุญธรรม” ที่นับถือ “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เสมือนบิดา เคยให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่เดินทางมาเคารพศพ “ป๋าเปรม” ว่า ตัวเขาจดจำคำสอนของอดีตรัฐบุรุษผู้ยิ่งยงของไทย 2 ประเด็นหลักคือ 1.ทางด้านการเมือง ประชาธิปไตยต้องเป็นประชาธิปไตยของประเทศของตนเอง หรือประเทศใครประเทศคนนั้น ให้เหมาะสมกับประเทศตนเอง 2.พล.อ.เปรมพูดอยู่เสมอ เราเกิดในแผ่นดินนี้ เราต้องตอบแทนคุณแผ่นดิน ถ้าใครไม่ตอบแทนคุณแผ่นดิน คนนั้นถือว่า เป็นคนทรยศต่อชาติการันตีบทบาททหารเฒ่าไทย มีอิทธิพลกับผู้นำทหารเมียนมาเต็มๆและท็อปบูตไทยเหนือกว่าในเกมความเขี้ยวที่ “โคตรเนียน” แบบที่รัฐบาลทหารเฒ่า 3 ป.ภายใต้การนำของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย หยั่งรากแก้ว กระจายรากฝอย ลากยาวอำนาจมากว่า 7 ปีสลับฉากแปลงร่างจากรัฐบาลรัฐประหาร คสช.มาเป็นรัฐบาลเลือกตั้งพลังประชารัฐในคราบท็อปบูต“สูตรพิเศษ” ต่อโปรโมชันยาวๆผ่านรัฐธรรมนูญภายใต้เงื่อนไขการแชร์เค้กที่ลงตัว ทหารเฒ่าแท็กทีม “อีลิท” แบ่งผลประโยชน์กันลงล็อก ครม.มีทั้งพี่น้อง 3 ป. แบ่งคุมบ่อน้ำมัน หัวโจกม็อบ กปปส.นั่งเป็นรัฐมนตรี นักการเมืองอาชีพร่วมแจมคุมเสียง ล็อกฐานในสภาเบ็ดเสร็จ ทั้งสภาล่าง 500 ส.ส. และวุฒิสภา 250 ส.ว.ถือไพ่แต้มต่อ เปิดเพลง “ขอเวลา” กันไม่จบไม่สิ้นถึงจุดมั่นใจในพลัง “หูทวนลม” ไม่ได้ยิน ไม่สะทกสะท้านพลังคนรุ่นใหม่ ไม่แคร์มวลชน นิสิต นักศึกษา ไปยันเด็กนักเรียนมัธยมออกมาเดินขบวนขับไล่ไม่ออก แถมยังส่อไปต่อไม่รอแล้วแนวโน้มตามกระแสข่าววงใน ลุงๆ 3 ป. “แตกหน่อ” พี่ใหญ่ พี่รอง น้องเล็ก มีการส่ง “นอมินี” ไปเตรียมตั้งป้อมค่ายสำรอง ผ่องถ่าย ส.ส. แยกสาขารวมแต้มเป็นนั่งร้าน “บิ๊กตู่” ทำ “แฮตทริก” นายกฯ 3 สมัยความมั่นคงทางอำนาจทีมลุง 3 ป.แน่นปึ้ก สวนทางกับความอ่อนแอเชิงบริหาร สถานการณ์บ้อท่ารับมือมหาวิกฤติเศรษฐกิจโควิด การจัดการ “วัคซีนไวรัสมรณะ” ที่ส่อไม่ทันกาล เพราะไม่มีการกระจายความเสี่ยง ล่าสุดตอกย้ำด้วยข่าวร้ายจากองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (TI) ได้ประกาศจัดอันดับรับรู้การทุจริตหรือ CPI ประจำปี 2020 ปรากฏว่า ประเทศไทยหล่นไปอยู่ในอันดับ 104 จาก 180 ประเทศ ทั่วโลกล้อกับปมแรงงานต่างด้าวเถื่อน บ่อนเถื่อนเกลื่อนเมือง จุดแพร่โควิดแต่นั่นก็คงไม่ระคาย แรงเสียดทานภายนอกทำอะไรทีม 3 ป.ยาก เว้นเสียแต่จะแพ้ภัยตัวเองแบบที่เห็นรอยปริแยกจาก “สนิมเนื้อใน” ชัดขึ้นทุกขณะอาการแบบที่ พล.อ.ประวิตร ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ประกาศชัดลุยส่งคนลงสมัครเลือกตั้งซ่อม ส.ส.นครศรีธรรมราช โดยไม่สนโควตาพรรคประชาธิปัตย์บ่งบอกอารมณ์ พรรคร่วมรัฐบาลอยู่กันแบบซ่อนมีดข้างหลังนั่นยังไม่แสบทรวงเท่ากับจังหวะกระแทก “ใจดำ” ในขุมอำนาจ 3 ป. อาการร้าวลึกระหว่างพี่ๆน้องๆที่แฝงอยู่ในคำสั่งนายกรัฐมนตรี แต่งตั้ง “ผู้กองนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรฯ เป็นประธานสอบข้อเท็จจริง ลุยเคลียร์คำสั่งของ พล.อ.ประวิตร ในเมกะโปรเจกต์เมืองต้นแบบอุตสาหกรรมจะนะ สงขลาแว่วๆ ทำให้มองหน้ากันไม่ติดหลายคู่.ทีมข่าวการเมือง