จากตอนที่แล้ว ความพ่ายแพ้ของสหรัฐฯในการทำศึกกับกองทัพอังกฤษที่สมรภูมิบลาเดนสเบิร์ก รัฐแมรีแลนด์ เมื่อปี 2357 ได้ส่งผลให้กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. แทบไร้การป้องกันและกลายเป็นเหตุการณ์ครั้งเดียวในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ที่เมืองหลวงแดนพญาอินทรีถูกกองทัพต่างชาติรุกราน (หากไม่นับสงครามประกาศเอกราช) หลังกองทัพผสมอังกฤษกว่า 4,000 นาย นำโดยพลเรือตรี จอร์จ ค็อกเบิร์น และพลตรีโรเบิร์ต รอส เห็นความได้เปรียบและตัดสินใจเคลื่อนกำลังเข้ายึดเมืองบันทึกที่ถูกเขียนไว้ระบุว่า “ในเมื่อไม่ได้รับการตอบสนองใดๆจากฝ่ายสหรัฐฯ เรื่องการขอเจรจาหยุดยิงหรือยอมจำนน จึงได้ยาตราทัพเข้ากรุงวอชิงตัน ดี.ซี. แต่ปรากฏว่าบรรดานายทหารคุมกำลังได้ถูกหน่วยแม่นปืนสไนเปอร์ลอบยิง ทำให้เกิดกระแสความไม่พอใจ โกรธเคือง และนำมาซึ่งการตัดสินใจเผาอาคารเป็นการตอบโต้”กระนั้น สายบัญชาการได้มีคำสั่งเจาะจง ให้เผาทำลายเฉพาะอาคารที่ทำการของรัฐบาล เพื่อส่งสัญญาณอย่างชัดเจนว่าอังกฤษมีความขุ่นเคืองต่อรัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ใช่ต่อประชาชนชาวอเมริกัน และนำไปสู่เหตุการณ์เผากรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ในวันที่ 24 ส.ค.2357สำหรับอาคารที่ถูกเผา มีอยู่ 10 แห่ง รวมทั้งกระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง อาคารรัฐสภา “แคปปิตอล” และแมนชันผู้บริหาร ที่ต่อมาเรียกกันว่าทำเนียบขาว “ไวท์ เฮาส์”การเผารัฐสภาทำให้เกิดเหตุไม่คาดคิด หนังสือกว่า 3,000 เล่มในห้องสมุดคองเกรส ได้ทำให้ไฟลุกโหมอย่างรวดเร็วอย่างควบคุมไม่อยู่ จนทำให้ผู้บัญชาการอังกฤษต้องสั่งถอนทหารออกจากเมืองหลวงในทันที ขณะที่ความเสียหาย ประเมินคร่าวๆไว้หลายแสนดอลลาร์ สหรัฐฯในยุคนั้นอย่างไรก็ตาม ยอดความเสียหายอาจสูงกว่านั้นหากสวรรค์ไม่เป็นใจ เพราะเพียงแค่ 1 วันต่อมาก็เกิดพายุฝนฟ้าคะนองอย่างหนักเหนือเมืองหลวงของสหรัฐฯ จนทำให้ไฟที่กำลังลุกโชติช่วงดับลงในที่สุดหลังสงครามจบลง รัฐสภาสหรัฐฯได้ถูกซ่อมแซมตั้งแต่ปี 2358-2369 และมีการขยายต่อเติมเรื่อยมาจนถึงปี 2501 หากมีโอกาสไปชมจะเห็นว่า สถาปัตยกรรมอันงดงามบางส่วนที่รอดพ้นจากความหายนะในสงครามครั้งนั้น ยังคงตั้งตระหง่านอยู่ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. จนถึงทุกวันนี้ครับ.ตุ๊ ปากเกร็ด