การจะเป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลกได้จะต้องมีนิสัยร่วมกันอย่างหนึ่งคือ “เสพติดการทำงาน” และ “มัธยัสถ์” แม้จะเกิดมาจน แต่บิลเลียนแนร์จำนวนมากก็สร้างเนื้อสร้างตัวมาได้เพราะขยันทำงานและประหยัดจนเป็นนิสัย น่าเสียดายที่ตอนตกทอดมาถึงรุ่นลูกรุ่นหลานกลับไม่เอาอ่าวซะงั้น ทายาทตระกูลเศรษฐีไม่น้อยจึงลงเอยด้วยการเกาะพ่อแม่เสวยสุขไปวันๆ“พ่อแม่ที่ให้สมบัติมากมายแก่ลูกเป็นการผลาญพลังและความสามารถของลูก ถ้าไม่ให้สมบัติเหล่านั้นเลย จะเป็นการส่งเสริมโอกาสให้ลูกรู้จักใช้ชีวิตอย่างมีค่าและเป็นประโยชน์” ราชาอุตสาหกรรมเหล็กของอเมริกา “แอนดรูว์ คาร์เนกี้” เป็นหนึ่งในมหาเศรษฐีโลกที่ต่อต้านการยกสมบัติให้ลูกหลาน เพราะเชื่อว่าเป็นการกระทำที่ไร้ความรับผิดชอบ สิ่งที่ต้องให้ลูกหลานไม่ใช่ทรัพย์สมบัติ แต่ควรเป็นความภาคภูมิใจในวงศ์ตระกูลผลการสำรวจของนักวิจัยด้านความร่ำรวย “โทมัส สแตนลีย์” ค้นพบว่ายิ่งลูกหลานได้รับเงินจากพ่อแม่มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งไม่รู้จักการประหยัด แต่ถ้ายิ่งได้รับเงินจากพ่อแม่น้อยเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีสำนึกในการประหยัด สาเหตุที่ทำให้สมบัติของพ่อแม่ร่อยหรอลงเรื่อยๆ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการให้จนเกินพอดีของพ่อแม่ เข้าตำรา “พ่อแม่รังแกฉัน” สปอยลูกไปวันๆอีกหนึ่งมหาเศรษฐีโลกที่ประกาศชัดว่าจะไม่ยกสมบัติให้ลูกก็คือ “บิล เกตส์” เจ้าของอาณาจักรไมโครซอฟท์ เขาเป็นตัวตั้งตัวตีก่อตั้งโครงการ “The Giving Pledge” ชวนเหล่ามหาเศรษฐีทั่วโลกร่วมมอบทรัพย์สินครึ่งหนึ่งที่แต่ละคนมีอยู่เพื่อบริจาคให้การกุศล ตัวเขาเองก็เป็นแบบอย่างเรื่องนี้ โดยประกาศชัดจะยกเงินให้ลูกคนละ 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯเท่านั้น ส่วนทรัพย์สมบัติที่เหลือขออุทิศให้สังคม และองค์กรการกุศลถึงแม้เจ้าพ่อไมโครซอฟท์จะเกิดมารวย มีพ่อเป็นเจ้าของสำนักทนายความชื่อดัง ส่วนแม่เป็นลูกสาวนายธนาคารใหญ่ ชีวิตไม่เคยลำบาก แต่เขาก็ไม่ได้ถูกประเคนด้วยความฟุ้งเฟ้อ พ่อแม่คือผู้ผลักดันให้เขาเป็นยอดนักอ่านและขวนขวายหาความรู้จนได้ดี “บิล” บอกเสมอว่า พ่อแม่ เลี้ยงผมด้วยการกระตุ้นให้อ่านหนังสือและฝึกคิดในหัวข้อที่หลากหลาย ครอบครัวเรามักจะอภิปรายถกเถียงกันเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆในหนังสือ ไม่เว้นเรื่องการเมือง นิสัยชอบอ่านหนังสือและค้นคว้าหาความรู้มาตั้งแต่เด็กได้ติดตัวเขามาจนปัจจุบัน อาวุธสำคัญที่ “พ่อผู้ร่ำรวย” ให้แก่ “บิล เกตส์” จึงไม่ใช่ประกาศนียบัตรโรงเรียนเอกชนค่าเทอมแพงๆ หรือป้ายชื่อของมหาวิทยาลัยชั้นยอดอย่างฮาร์วาร์ด แต่เป็นการสอนให้ลูกรู้จักคิดและใช้ชีวิตแบบพึ่งพาตนเอง ไม่คิดพึ่งแต่พ่อแม่ โดยเริ่มปลูกฝังนิสัยขยันทำงานและขวนขวายหาความรู้ให้ลูกตั้งแต่เด็ก เพื่อไม่ให้ลูกโตมาขี้เกียจแม้แต่ตระกูลมหาเศรษฐีเก่าแก่อันดับต้นๆของโลกอย่าง “ร็อกกี้เฟลเลอร์” ยังกลัวว่าเงินจะทำให้ชีวิตของลูกๆพังพินาศ “ร็อกกี้เฟลเลอร์ที่สอง” ให้เหตุผลที่ต้องให้เงินค่าขนมแก่ลูกๆเป็นรายสัปดาห์ และบังคับให้ลูกๆทุกคนเขียนรายจ่ายลงสมุดบัญชีอย่างละเอียด เพราะเขาอยากให้ลูกๆรู้จักคุณค่าของเงิน ไม่อยากให้ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย หลักการบริหารเงินด้วยค่าขนมถือเป็นสูตรการรักษาความมั่งคั่งที่ตกทอดประจำตระกูลร็อกกี้เฟลเลอร์ หากคิดจะเป็นคนรวยก็ต้องรู้จักการใช้เงินค่าขนม เพื่อฝึกวินัยทางการเงิน โดยหลักการคือ เงิน 1 ใน 3 ใช้เป็นค่าใช้จ่าย ส่วนอีก 1 ใน 3 ให้เก็บสะสม และที่เหลือบริจาค ลูกคนไหนใช้เงินตามหลักการนี้จะได้รางวัล 5 เซ็นต์ ส่วนใครใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายจะโดนหัก 5 เซ็นต์ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า แค่ฝึกวินัยการใช้ค่าขนมให้เป็นจะสามารถทำให้ตระกูลร็อกกี้เฟลเลอร์รักษาความรวยมาได้รุ่นแล้วรุ่นเล่าในหนังสือ “วิชาเศรษฐี” หยิบยก “ครอบครัวร็อกกี้เฟลเลอร์” เทียบกับตระกูลมหาเศรษฐีตกอับอย่าง “แวนเดอร์บิลต์” ของ “คอร์นีเลียส แวนเดอร์บิลต์” ซึ่งร่ำรวยจากธุรกิจเดินเรือโดยสารไอน้ำและรางรถไฟในยุคศตวรรษที่ 19 ถึงขนาดติดทำเนียบบุคคลที่มีทรัพย์สินมากสุดเป็นอันดับสามของโลกในยุคนั้น ตอนเขาเสียชีวิตได้ทิ้งทรัพย์สินมรดกมหาศาลให้ลูกๆทั้ง 10 คน และหลานๆอีก 20 กว่าคน พร้อมสั่งเสียให้รักษาเงินนี้ให้ดี กระนั้น ลูกหลานตระกูลแวนเดอร์บิลต์กลับช่วยกันผลาญมรดกของบรรพบุรุษในชั่วพริบตา ใช้ชีวิตเสวยสุขราวกับว่าโลกจะแตกในวันพรุ่งนี้...ไม่แปลกใจที่ทุกวันนี้จะไม่มีชื่อคนตระกูลแวนเดอร์บิลต์ติดทำเนียบเศรษฐีแม้แต่คนเดียว.มิสแซฟไฟร์