เมื่อถุงพลาสติกถูกทิ้งเป็น “ขยะ” อยู่ตามสิ่งแวดล้อมมากมาย ทั้งขยะบนบกและขยะในทะเล ที่ไม่ใช่มีผลต่อระบบนิเวศเท่านั้น แต่กำลังกลายเป็น “ภัยร้ายใกล้ตัว” ย้อนกลับมาทำร้าย “ผู้บริโภค” ด้วยเช่นกันเพราะขยะพลาสติกนี้ถูกทิ้งลง “ทะเล” มักสลายตัวกลายเป็น “ไมโครพลาสติก” มีอนุภาคขนาดเล็กเท่ากับแบคทีเรียบางชนิด ที่เกิดจากการแตกหัก “สารเคมีใช้ผลิตพลาสติก” แขวนลอยปนเปื้อนอยู่ในทะเลทำให้สิ่งมีชีวิตในทะเลกินเป็นอาหาร โดยเฉพาะ “ปลาชนิดกินแพลงก์ตอน” ได้รับไมโครพลาสติกไปอยู่ในท้องปลาอย่างมาก สุดท้ายก็เป็น “ห่วงโซ่” อาหารของ “คน” ในการนำสัตว์ทะเลมารับประทานเมื่อเป็นเช่นนี้ “ผู้บริโภค” ก็จะรับสารพิษและสารเคมีเข้าสู่ร่างกายแบบไม่รู้ตัวกลายเป็น “สิ่งแปลกปลอม” รบกวนการทำงานของระบบในร่างกาย รบกวนการทำงานการปล่อยฮอร์โมน อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพ และก่อให้เกิดโรคต่างๆ ตามมา...สถานการณ์ขยะพลาสติกนี้ ดร.วิจารย์ สิมาฉายา อดีตปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ในฐานะ ผอ.สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย บอกว่า ตอนนี้ในภาพรวมของขยะมูลฝอยถูกทิ้งทั่วประเทศประมาณ 27.40 ล้านตันต่อปี คิดเป็น 75,046 ตันต่อวัน เฉลี่ยแต่ละคนสร้างขยะ 1.3 กก.ต่อคนต่อวันในจำนวนนี้มีขยะพลาสติกปะปนรวมอยู่ราว 2 ล้านตันต่อปี แต่มีการนำกลับไปใช้ประโยชน์ หรือรีไซเคิลได้ประมาณ 5 แสนตัน คิดเป็นร้อยละ 25 หรือ 1 ใน 4 ของพลาสติกทั้งหมดเท่านั้น ส่วนอีก 1.5 ล้านตันต่อปี ถูกนำไปกำจัด แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ 1.เผาทำลาย มีโรงงานเผาอยู่ 4 แห่ง คือ ภูเก็ต กทม. ขอนแก่น สมุทรปราการ สามารถเผาได้ประมาณ 2,000 ตันต่อปี 2.การฝังกลบราว 3,000 ตันต่อปี แต่มักเกิดปัญหา “บ่อขยะเต็ม” ถูกนำมากองเป็นภูเขาเลากาไว้ ที่เป็นการจำกัดไม่ถูกวิธีถ้ามีฝนตกมาก็ชะกองขยะ นำความสกปรก เชื้อโรค สารพิษ ไหลลงสู่แหล่งน้ำ และ 3.เป็นของเสีย ถูกปล่อยลงแหล่งน้ำและทะเล มีประมาณ 1 ล้านตันต่อปี ที่กำลังเพิ่มพูนจำนวนมากขึ้นทุกปีก่อนหน้านี้ “กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง” มีการติดตั้งทุ่นกักขยะตามปากแม่น้ำและลำคลองสายหลัก สามารถตรวจดักจับเก็บขยะได้มากมาย เช่น ขวดน้ำพลาสติก ขวดแก้ว โฟม ถุงพลาสติก ฝาน้ำ ซึ่งขยะพลาสติกพวกนี้ต้องใช้เวลาย่อยสลายนานกว่า 450 ปีด้วยซ้ำในระหว่างการย่อยสลายล่องลอยอยู่ในน้ำทะเลนี้ “ขยะพลาสติกขนาดใหญ่” เมื่อถูกรังสียูวีจากดวงอาทิตย์ ทำให้เกิดการสลายโครงสร้างเป็นชิ้นเล็กลงกลายเป็น “ไมโครพลาสติก” โดยเฉพาะพื้นที่มหาสมุทรลักษณะน้ำอุ่น เช่น เอเชียแปซิฟิก มักมีไมโครพลาสติกปนเปื้อนอยู่จำนวนมาก“ขยะพลาสติก” ยิ่งอยู่ในน้ำทะเลนานจะมีลักษณะคล้าย “แมงกะพรุน” จากนั้นจะสลายเป็น “ไมโครพลาสติก” มีแสงระยิบระยับคล้าย “แพลงก์ตอน” หลอกล่อสัตว์ทะเลมากิน แต่มีความเป็นพิษสูงมากเพราะเมื่อราว 40-50 ปีที่แล้ว “นักวิจัย” เก็บตัวอย่างสิ่งมีชีวิต สัตว์ทะเล เช่น “นกทะเล” ที่มีไมโครพลาสติกในร่างกาย 5% แต่ไม่กี่ปีมานี้ก็เก็บตัวอย่างใหม่ กลับพบว่า “นกทะเล” มีไมโครพลาสติกเพิ่มขึ้นสูงถึง 90%อีกทั้งยังมีผลกระทบในสัตว์น้ำอื่น เช่น กุ้ง หอย ปู ปลา ที่มีไมโครพลาสติกสะสมในตัวสัตว์อยู่มาก จนเนื้อเยื่อในกระเพาะอาหารเป็นแผล และยับยั้งการเจริญเติบโตของสัตว์ด้วย...ดังนั้น “คน” บริโภคเนื้อสัตว์ทะเลนี้ที่มีไมโครพลาสติกปนเปื้อน ก็มีโอกาสเข้ามาสะสมเป็น “สิ่งแปลกปลอม” ที่จะก่อให้เกิดโรคต่างๆ อาจก่อให้เกิด “โรคมะเร็ง” ตามมาได้แน่นอน แต่ระยะเวลาที่จะแสดงอาการของโรคอาจจะช้ากว่าสัตว์ขนาดเล็กเท่านั้นเองสอดคล้องผลการศึกษา “การปนเปื้อนไมโครพลาสติกในอาหารและมนุษย์” ได้นำอุจจาระจากผู้บริโภค “สัตว์ทะเล” ในพื้นที่ที่มีการสะสมของไมโครพลาสติกหนาแน่น พบว่า ในอุจจาระจะเจออนุภาคของไมโครพลาสติก แม้แต่ “เนื้อเยื้อของคน” ก็มีการสะสมปนเปื้อนอยู่เช่นกันสิ่งนี้ยังปัญหาส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง ที่ล้วนเกิดจากมนุษย์ที่ไม่มีจิตสำนึกในการร่วมกันรักษาให้กับโลกใบนี้ด้วย ต้องยอมรับว่า...“ประเทศไทย” มีการใช้ถุงพลาสติกก๊อบแก๊บราว 4.5 หมื่นล้านใบต่อปี แบ่งเป็น...ในห้างสรรพสินค้า ซุปเปอร์มาร์เกต และร้านสะดวกซื้อ ร้อยละ 30 ส่วนที่เหลือร้อยละ 70 มีการใช้ในตลาดสด ร้านขายของชำ และนับแต่เดือน ม.ค.2563 มีการขับเคลื่อนงดเลิกใช้ถุงพลาสติก ก็สามารถลดได้ราว 30% เท่านั้นกระทั่ง...“การระบาดโควิด-19” ทำให้ “รัฐบาล” มีมาตรการชัตดาวน์เมืองอย่างเต็มรูปแบบ โดยเฉพาะเขตเมือง ทั้งกรุงเทพฯและเมืองท่องเที่ยว ต่างก็มีปริมาณขยะมูลฝอยโดยรวมลดลง เช่น จ.ภูเก็ต ลดลงจาก 970 ตันต่อวัน เป็น 840 ตันต่อวัน พัทยา จาก 850 ตันต่อวัน เป็น 380 ตันต่อวัน เป็นต้นทว่า...“สัดส่วนขยะพลาสติก” กลับเพิ่มสูงขึ้นในเกือบทุกเมืองถึงร้อยละ 62 สาเหตุจากการสั่งอาหารรูปแบบดีลิเวอรีที่มีการเติบโตมากกว่า 200% ตามรายงานของกรุงเทพฯ ในเดือน เม.ย.2563 มีปริมาณขยะพลาสติก 3,440 ตันต่อวันของขยะทั้งหมด 9,370 ตันต่อวัน เพิ่มขึ้นจากปี 2562 จำนวน 2,120 ตันต่อวันทำให้หลังจาก “หยุดระบาดโควิด-19” คงต้องรณรงค์หยุดการใช้ถุงพลาสติกกันใหม่ โดยเฉพาะ “โรดแม็ปการจัดการขยะพลาสติก” ในการเลิกใช้พลาสติกที่ดำเนินมาตั้งแต่ในปี 2562 แบ่งเป็น 3 ชนิด คือ 1.พลาสติกหุ้มฝาขวดน้ำดื่ม 2.พลาสติกผสมสารออกโซ 3.พลาสติกผสมไมโครบีดและระยะที่สอง...จะยกเลิกให้ใช้ภายในปี 2565 อีก 4 ชนิด คือ 1.พลาสติกหูหิ้วที่มีความหนาน้อยกว่า 36 ไมครอน 2.กล่องโฟมบรรจุอาหาร 3.หลอดพลาสติก ที่มีข้อยกเว้นสำหรับใช้กับเด็ก คนชรา และผู้ป่วย และ 4.ยกเลิกใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวประเด็น...“นำเข้าขยะพลาสติกนำมารีไซเคิลในประเทศไทย” ยังมีข้อถกเถียงกันอยู่ ที่เป็นปัญหา “รัฐบาล” ต้องให้ความชัดเจน เพราะเดิมการนำเข้าขยะพลาสติก ต้องเป็นสิ่งพลาสติกสะอาด แต่ในช่วงหลังมานี้กลับมาเป็น “พลาสติกปนเปื้อน” สาเหตุจาก “ประเทศจีน” ห้ามนำเข้าขยะพวกนี้ และทะลักมาในไทยแทนทำให้ “ตัวเลข” ในการนำเข้าขยะพลาสติกจากไม่ถึงหมื่นตันต่อปี กลายมาเป็นหลักแสนตันต่อปี ดังนั้น “กระทรวงอุตสาหกรรม หรือกรมศุลกากร” คงต้องตรวจสอบตัวเลขให้ชัดเจน เพราะ “ตามระเบียบ” การนำเข้าขยะพลาสติกสะอาด ต้องนำเข้าโรงงานรีไซเคิลที่ขึ้นทะเบียนกับกรมโรงงานถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้นหนำซ้ำ...ในช่วงนี้กลับไม่เป็นตามระเบียนเพิ่มขึ้น เพราะ “คนต่างชาติ” หันมาลงทุนทำธุรกิจโรงงานประเภทรีไซเคิลมากกว่าเดิม มีทั้งได้รับอนุญาต และไม่รับอนุญาต ทำให้มีการนำเข้า “ขยะอิเล็กทรอนิกส์ปนเปื้อน” ที่มีการคัดแยกอย่างไม่ถูกต้อง ทั้งการเผากลางแจ้ง หรือไม่มีระบบกำจัดมลพิษ เป็นต้น ปัญหานี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องคงต้องเข้าไปแก้ไข และกำหนดเงื่อนไขโควตาการนำเข้าขยะพลาสติก และขยะอิเล็กทรอนิกส์ให้ชัดเจน เพราะคราวก่อนนี้ก็เคยมีการเสนอร่าง พ.ร.บ.การจัดการซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์และซากผลิตภัณฑ์อื่น พ.ศ. ...สุดท้ายต้องถอนกลับไปตั้งต้นกันใหม่ แต่ในส่วนของต่างชาติ 60 ประเทศ มีกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมขยะนำเข้าประเทศกันอย่างเข้มงวดแล้ว ทำให้ประเทศไทยมีช่องว่างในการ “ดีแคลร์สำแดงขยะนำเข้าไม่ตรงตามจริง” เช่น นำเข้าพลาสติกสกปรก กลับสำแดงแจ้งเป็นพลาสติกสะอาด ฯลฯย้ำว่า...“ประเทศไทย” ถูกจัดอยู่อันดับที่ 6 ที่มีขยะทางทะเลมากที่สุดในโลก และนี่อาจไม่ใช่ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น หากแต่ยังมีผลต่อ “สัตว์ทะเล” ที่กำลังย้อนมาทำร้าย “ผู้บริโภค” รับสารพิษตกค้างตายผ่อนส่งในที่สุดอีกด้วย.