ปลายเดือนที่แล้ว...มีข่าว “ตรวจคลินิก ลุยทุจริตบัตรทอง เบิกเงินเท็จ”...“ดีเอสไอ” นำทีมบุกคลินิกเวชกรรมและทันตกรรม 4 แห่งในกรุงเทพฯและปทุมธานี แจ้งหลักฐานเท็จ “เบิกเงิน” งบประมาณจาก สปสช. แต่ไม่พบ “ประชาชน”...เข้าไปใช้บริการตรวจสุขภาพคณะทำงานสอบข้อเท็จจริงตรวจสอบ...จนได้หลักฐาน ก่อนประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสืบสวนหาผู้กระทำความผิด เตรียมขยายผลคลินิก เวชกรรม 256 แห่ง และทันตกรรมอีก 100 แห่งเข้าข่ายส่อทุจริต หน่วยงานรัฐได้ “เปิดปฏิบัติการ” ขุดรากถอนโคนเครือข่ายโกง “บัตรทอง” อย่างจริงจัง...การถอนรากถอนโคนขบวนการทุจริต “งบบัตรทอง” ภายใต้ความร่วมมือของหน่วยงานรัฐหลากหลายองค์กร นับเป็น “กรณีตัวอย่าง” การทำงานที่น่าสนใจปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้...กล่าวได้ว่าก่อตัวตั้งต้นมาจากกระบวนการตรวจสอบอันเข้มงวดของ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จนทำให้พบ “ข้อพิรุธ” ของหน่วยบริการจำนวนหนึ่งที่มีพฤติกรรม “ตกแต่งตัวเลข-จัดทำเอกสารเท็จ” ในการเบิกงบสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคจาก “กองทุนบัตรทอง”ย้อนไปราวๆต้นเดือนกรกฎาคม สปสช.รายงานความคืบหน้าการดำเนินการเอาผิดคลินิกอบอุ่น 18 แห่ง ที่เบิกเงินค่าดูแลผู้ป่วยเกินจริงว่าได้ดำเนินการฟ้องร้องเอาผิดคลินิกทั้ง 18 แห่งเรียบร้อยแล้วส่วนยอดเงินที่พบมีการเบิกเกินไปกว่า 70 ล้านบาทคำถามสำคัญมีว่า...ความผิดปกติในการเบิกจ่ายเงินเท็จนี้ สปสช.ตรวจพบนานแล้ว แต่ทำไมเพิ่งจะดำเนินการเอาผิดตามกฎหมาย?คำตอบที่ได้คือ...เรื่องนี้ต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ ที่ผ่านมาต้องใช้เวลาในการตรวจสอบ เก็บรวบรวมหลักฐานเชิงประจักษ์ นำเข้าสู่การพิจารณาของอนุกรรมการหลายคณะยืนยันว่าไม่ได้ปล่อยปละละเลย หรือจะอะลุ่มอล่วยแน่นอน เพราะถือเป็นเรื่องใหญ่ “จากหลักฐานแล้วมันชัดเจนว่ามีการโกงเกิดขึ้นแน่ ต้องหาต่อว่าใครโกง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้ ที่บางคนเอาเงินภาษีของประชาชนซึ่งรัฐจัดไว้บริการด้านสุขภาพมาปู้ยี่ปู้ยำแบบนี้” อนุทิน ชาญวีรกูล รมว.สาธารณสุข (สธ.) ในฐานะประธานบอร์ด สปสช. พูดเอาไว้ชัดเจนท่าทีแข็งขันและเอาจริงเอาจังจาก รมว.สาธารณสุข นำมาสู่การตรวจสอบอย่างเข้มข้น ขยายผลลงลึกไปถึงเอกสารทีละแผ่น...ทีละบรรทัด รวมถึงตรวจสอบเส้นทางการเงินต่างๆโดยขณะนี้ สปสช.สามารถยืนยันการทุจริตของหน่วยบริการได้ทั้งสิ้น 86 แห่ง“เราได้เชิญดีเอสไอ (กรมสอบสวนคดีพิเศษ) ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้แทนจาก ป.ป.ท. (สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ) ผู้แทนอัยการ และกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) เข้ามาหารือ เพื่อเดินหน้าสอบสวนเรื่องนี้ ทำความจริงให้ปรากฏ”อนุทินกล่าวย้ำถึงการบูรณาการหน่วยงานรัฐ ขยายผลการตรวจสอบเพื่อเอาผิดอย่างเด็ดขาดในทุกช่องทาง และในงานแถลงข่าว “ความคืบหน้า สปสช.เร่งดำเนินการเอาผิด หน่วยบริการทุจริตเงินบัตรทอง” เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคมที่ผ่านมา ยิ่งตอกย้ำการปกป้องผลประโยชน์ประเทศชาติ นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการ สปสช. บอกว่า สปสช.มีระบบการตรวจสอบที่เข้มงวดและการพบ 18 คลินิกเอกชนทุจริตในครั้งนี้ ก็เป็นผลมาจากการตรวจสอบของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เขต 13 (กทม.)นอกจากนี้ เรายังได้ตรวจพบคลินิกทันตกรรมอีก 2 แห่ง ที่สามารถยืนยันพฤติกรรมในลักษณะเดียวกัน พร้อมกับห้องปฏิบัติการ (Lab) อีก 2 แห่ง ที่เข้าข่าย “สมรู้ร่วมคิด”จึงได้ดำเนินการแจ้งความเพิ่มเติมแล้วล่าสุด...มีการขยายผลการตรวจสอบลงลึก ทำให้สามารถเปิดโปงเครือข่ายการทุจริตในครั้งนี้เพิ่มเติมได้อีก 63 แห่ง รวมทั้งสิ้นขณะนี้สามารถจับทุจริตได้แล้ว 86 แห่งแบ่งเป็น...โรงพยาบาลเอกชน 8 แห่ง คลินิกเอกชน 73 แห่ง และคลินิกทันตกรรม 5 แห่ง ซึ่ง สปสช.จะนำเอกสารหลักฐานดังกล่าวยื่นต่อกองปราบปรามและดีเอสไอต่อไป นพ.การุณย์ คุณติรานนท์ รองเลขาธิการ สปสช. ในฐานะเลขานุการคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการเบิกจ่ายอันเป็นเท็จ เสริมว่า แม้ว่าการตรวจสอบในครั้งนี้เราจะเริ่มต้นจากพบการทุจริตคลินิกเอกชน 18 แห่ง และจากนั้นได้ขยายผลไปยังอีก 63 แห่ง...คลินิกทันตกรรมเอกชนอีก 5 แห่งอย่างไรก็ตาม สปสช. ตั้งเป้าที่จะขยายผลไปยัง “ชุมชนอบอุ่น” รวมทั้งคลินิกทันตกรรมทุกแห่งในกรุงเทพมหานคร (กทม.) และจะตรวจสอบย้อนกลับไป 10 ปี“แต่ในเฟสแรกนี้ เราจะใช้โมเดลการทำงานจากการตรวจสอบ 18 คลินิก โดยในกระบวนการตรวจสอบบัญชี ขณะนี้เราต้องตรวจเอกสารทั้งหมด 1.2 ล้านฉบับ”ข้อมูลที่มากมายมหาศาลขนาดนี้ นพ.การุณย์ บอกว่า สำนักงานฯ ได้ระดมผู้ตรวจสอบบัญชี 300 ชีวิต และทีมสนับสนุนอีกกว่า 100 ชีวิต ตรวจสอบกันหามรุ่งหามค่ำไม่มีวันหยุด เพื่อให้ได้ผลสอบ 100% ของหน่วยบริการ 86 แห่ง ภายในเดือนสิงหาคมนี้ ต้องย้ำว่า...การขยายผลในครั้งนี้ เป็นผลมาจากข้อสั่งการของประธานบอร์ด สปสช.ที่กำชับให้ สปสช.ล้างบางขบวนการทุจริตให้สิ้นซาก และนำมาสู่ปฏิบัติการตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายคือคลินิกทันตกรรม 2 แห่ง และห้องแล็บ 2 แห่ง โดย 4 หน่วยงานหลัก ได้แก่ ดีเอสไอ, กองปราบปราม, สบส., ป.ป.ท.ประกอบด้วย 1.บริษัทสยามเมดิคอล ไฮคิว แล็บ จำกัด ต.ประชาธิปัตย์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี 2.บริษัทโปรเซ็นทรัล เมดิคอล กรุ๊ป จำกัด ต.คลองสาม อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี 3.คลินิกทันตแพทย์สมรัก แขวง สามเสนใน เขตพญาไท กทม. 4.คลินิกทันตแพทย์อนุสรณ์ แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กทม.ปฏิบัติการตรวจค้น...เจ้าหน้าที่สามารถยึดเอกสารการรักษา ใบเสร็จ เวชระเบียน และเครื่องคอมพิวเตอร์ ไว้เพื่อตรวจสอบและอาจใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินการทางคดีในระหว่างที่กระบวนการตรวจสอบยังเดินหน้าต่อไป ทาง สปสช. ก็ได้ยกระดับระบบการเบิกจ่ายเพื่ออุดช่องโหว่ที่จะเกิดขึ้น“กรณีนี้เป็นการเบิกจ่ายตามที่หน่วยบริการคีย์เข้าระบบ การตรวจสอบ ข้อมูลว่าประชาชนมาใช้สิทธิจริงหรือไม่ทำได้เพียงการสุ่มตรวจภายหลัง แต่หลังจากนี้ได้มอบนโยบายให้ สปสช.เพิ่มขั้นตอนการยืนยันตัวบุคคล โดยใช้เครื่องอ่านสมาร์ทการ์ดหรือแอปพลิเคชัน เพื่อเป็นหลักฐานว่าประชาชนมาใช้บริการจริง”อนุทินในฐานะรองนายกรัฐมนตรี ฝากทิ้งท้ายด้วยว่า ไม่แต่เฉพาะการเบิกจ่ายกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หากแต่รวมถึงทุกกองทุนและทุกหน่วยงาน ทุกสังกัด จะต้องมีระบบตรวจสอบที่เข้มงวด ไม่ให้มีการ “ทุจริต” และ “รั่วไหล” เป็นอันขาด.