พลิกตำรา “นวัตกรรม” การลดเวลาขั้นตอน“คดีอาญา” เปิดรับ “นิวนอร์มอล” ด้วยการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา “ผ่านจอ” สายตรงถึงเรือนจำ สร้างการเปลี่ยนแปลงความปกติใหม่ในกระบวนการศาลยุติธรรม ที่ยกระดับการเข้าถึงความยุติธรรมแก่จำเลยถูกคุมขัง...เพราะตามขั้นตอนนับแต่ “ศาลฎีกา” ทำคำพิพากษาเสร็จสิ้น ต้องผ่านขั้นตอนการส่งสำนวน และซองคำพิพากษาศาลฎีกาต้องผ่านทางระบบสารบรรณของแต่ละศาล และ “ศาลชั้นต้น” ก็จะนัดฟังคำพิพากษา “ศาลฎีกา” ส่งหมายให้คู่ความทุกฝ่ายทราบตลอดจนรอผลการส่งหมายกว่าศาลชั้นต้นพร้อมอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้จำเลยฟังก็อาจใช้เวลานานหลายเดือน...ปัญหามีอยู่ว่า...ถ้าผลคำพิพากษาศาลฎีกาทำให้จำเลยได้รับการปล่อยตัว หรือรับประโยชน์จากหมายจำคุกคดีถึงที่สุด อาจมีผลให้ “เสียโอกาส” ดังนี้ แล้ว...จึงได้วางระเบียบราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรมว่าด้วยการอ่านคำพิพากษา หรือคำสั่งศาลฎีกา ในคดีอาญา...“ศาลฎีกา” จัดให้มีการถ่ายทอดภาพและเสียงในลักษณะการประชุมทางจอภาพ พ.ศ.2563 (Video Conference) เพื่อลดขั้นตอน การส่งสำนวนและคำพิพากษา หรือคำสั่งศาลฎีกาในคดีอาญา และลดการเบิกตัวจำเลยมายัง “ศาล” ได้อีกด้วยและไม่นานมานี้...“ผู้พิพากษาศาลฎีกา” มีการออกนั่งบัลลังก์ อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีอาญา ความผิดต่อ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ ผ่านระบบสื่อสารทางไกลผ่านจอภาพเป็นครั้งแรก ขณะที่ “จำเลย” ก็ถูกคุมขังอยู่ ที่เรือนจำกลางบางขวาง มีเจ้าหน้าที่เรือนจำเป็นสักขีพยาน ยืนยันตัวตนจำเลยตลอดการอ่านคำพิพากษาตามระเบียบราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม “ศาลฎีกา” ได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้องโจทก์ และมีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นออกหมาย ปล่อยตัวจำเลยไปในทันที ไสลเกษ วัฒนพันธุ์ ประธานศาลฎีกาการสร้างการเปลี่ยนแปลงในกระบวนการศาลยุติธรรมนี้ ไสลเกษ วัฒนพันธุ์ ประธานศาลฎีกา บอกว่า ตามปกติคดีขั้นสู่ศาลฎีกา “ผู้พิพากษา” เจ้าของสำนวนคดี เมื่อทำคำพิพากษาเสร็จสิ้น จะส่งสำนวนไปศาลชั้นต้น ใน เขตอำนาจของคดีนั้น เพื่อให้นัดคู่ความ “โจทก์” หรือ “จำเลย” ก็แล้วแต่ ใช้เวลาราว 2 เดือนในช่วง 2 เดือนนี้ที่รอ...“คำพิพากษา” อาจเป็นไปทั้ง “คุณต่อจำเลย” และ “โทษแก่จำเลย” ตามข้อมูลมักพบว่า จำเลยจำนวนหนึ่งของ “คดีอาญา” ของ “ศาลฎีกา” มีการยกฟ้อง และปล่อยตัวจำเลยตามคำสั่งนี้ถ้า “จำเลย” ได้รับอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว ก็เกิดความเสียหายน้อยลง แต่หาก “ถูกคุมขังในเรือนจำ” ย่อมมีความเสียหายรุนแรง ในการยกฟ้องคดีจะกลายเป็นว่า “จำเลย” ถูกคุมขังอย่างไม่จำเป็นด้วยเหตุที่ระหว่างรอคำพิพากษา ก็ไม่มีใครรู้ว่า...“ศาล” มีคำพิพากษา “สั่งยืนตามคำสั่งศาลล่าง” หรือ “ยกฟ้องคดี” กรณีมีคำพิพากษา “เป็นคุณ” เช่น “ยกฟ้อง” ทำให้เสียสิทธิได้รับการปล่อยตัวช้าเกินไป อีกมุม...กรณี “ศาลฎีกา” มีคำพิพากษายืนตามศาลล่าง “ลงโทษแก่จำเลย” นั้นหมายความว่า “คดีเป็นอันถึงที่สุดแล้ว” กลับปรากฏว่าในระหว่างคดียังไม่ถึงที่สุด ทำให้ “จำเลย” ต้องเสียสิทธิประโยชน์พิเศษขึ้นด้วย เช่น การอภัยโทษ ลดโทษในวันสำคัญต่างๆ เพราะ “จำเลย” จะได้รับสิทธิประโยชน์นี้ต้องมีคำพิพากษาถึงที่สุดเท่านั้นกลายเป็นว่า “คนต้องถูกลงโทษ” กลับไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ในบางอย่างที่ควรได้รับ จนเกิดความเสียหายขึ้น ฉะนั้น ไม่ว่า “ศาลฎีกา” จะมีคำพิพากษายกฟ้อง หรือลงโทษ ก็ทำให้จำเลยเสียสิทธิทั้งสิ้นเรื่องนี้เป็นประเด็นสำคัญ...ให้มาคำนึงถึงช่องทางการเยียวยา “สิทธิประโยชน์ของจำเลย” ที่ต้องอ่านคำพิพากษาให้เร็วสุด ด้วยการมุ่งตรงถึง “จำเลย” ที่ไม่ต้องผ่านศาลชั้นต้น ทำให้เกิดโครงการอ่านคำพิพากษา หรือคำสั่งศาลฎีกาผ่านการถ่ายทอดภาพและเสียงในลักษณะการประชุมทางจอภาพ พ.ศ.2563โดยนำเทคโนโลยีมาใช้อำนวยความยุติธรรม จะเป็นหลักประกันการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของจำเลยที่ต้องถูกขังอยู่ในเรือนจำ ที่เพิ่งจะได้รับทราบคำพิพากษา หรือคำสั่งศาลฎีกาโดยเร็ว อาศัยอำนาจตามความใน ม.5 แห่งพระธรรมนูญศาลยุติธรรม ในการวางระเบียบราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม“ดั่งหลักการพูดกันอยู่เสมอว่า...“ความยุติธรรม ไม่ควรจะต้องล่าช้าโดยไม่จำเป็น” ฉะนั้น การอ่านคำพิพากษา...“ผลจะเป็นอย่างไร” ก็ย่อมทำให้คนที่ต้องถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพ ดังนั้น ต้องปฏิบัติให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อไม่ให้ถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพนานเกินไป และมีโอกาสได้รับสิทธิ–ประโยชน์อื่นตามมาด้วย” ไสลเกษว่าอีกประการ...เวลานี้เกิดโรคโควิด-19 ระบาด ทำให้มีความจำเป็นที่ไม่ต้องนำตัว “จำเลย” ออกจากเรือนจำ ที่มีความเสี่ยงโอกาสการรับเชื้อไวรัส เข้าสู่ภายในเรือนจำ และยังลดการรวมกลุ่มกันในห้องพิจารณาคดีด้วยสิ่งสำคัญการนำ “ผู้ต้องขัง” หรือ “นักโทษ” เดินทางมายังศาลย่อมมีความเสี่ยงโอกาส “หลบหนี” หรือ “การชิงตัวประกัน” ได้เสมอ ในการป้องกันนี้ด้วยการอ่านคำพิพากษาผ่านระบบสื่อสารทางไกลผ่านจอภาพให้จำเลย ถูกคุมขังที่เรือนจำฟัง เป็นการลดขั้นตอน ลดการเบิกตัวจำเลยมาศาลกรณีที่สามารถเชื่อมสัญญาณกับเรือนจำได้ ลดการใช้เครื่องพันธนาการ และลดความเสี่ยงในการหลบหนี เมื่อมีการควบคุมจำเลยมาศาลที่ยังเป็นการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของจำเลยที่ถูกคุมขังมีขั้นตอน “ศาล” จะประสาน “เรือนจำ” เตรียมความพร้อมเกี่ยวกับ วัน เวลา สถานที่ และอุปกรณ์ให้จำเลยฟังที่เรือนจำ เมื่อถึงวันเวลานี้เรือนจำ “เบิกตัวจำเลย” มาฟังคำพิพากษา หรือคำสั่ง จุดที่เรือนจำเตรียมไว้ส่วนผู้พิพากษาออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาอย่างเปิดเผยต่อหน้าสาธารณะ ผ่านการถ่ายทอดภาพและเสียงในลักษณะการประชุมภาพ ตั้งแต่เริ่มต้นจนเสร็จสิ้น มีเจ้าหน้าที่ของเรือนจำนั้นอยู่เป็นสักขีพยานตลอดการอ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นมิเช่นนั้นจะกลายเป็นว่า...“ปิดประตูตีแมว” หรือ “ไม่มีการรับรู้ต่อสาธารณะ” ที่เป็นหลักประกันสิทธิเสรีภาพแท้จริงของจำเลย ดังนั้น ในวันนัดก่อนอ่านคำพิพากษา หรือคำสั่งศาลฎีกา ต้องมีระบบการตรวจสอบเกี่ยวกับตัวบุคคลว่า... เป็นจำเลยในคดีจริง โดยเจ้าหน้าที่เรือนจำต้องมีการพิสูจน์ให้ปรากฏเป็นหลักฐาน และส่งมายังศาลฎีกาทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศอื่น ซึ่งเป็นการดำเนินกระบวนการพิจารณาอ่านคำพิพากษาให้สมบูรณ์ใกล้เคียงกับการนำตัว “จำเลย” มานั่งในห้องพิจารณาคดีมากที่สุดทว่า...“ญาติของจำเลย” มีความประสงค์เข้ารับฟังการอ่านคำพิพากษาผ่านจอภาพนี้ ต้องขออนุญาต หรืออยู่ที่ดุลพินิจของทางกรมราชทัณฑ์ แต่มองว่า...มีความเป็นไปได้ที่อาจมีการจัดโซนให้ญาติร่วมรับฟัง หรือชมการถ่ายทอดการอ่านคำพิพากษา อาจมีการเตรียมจุดไว้โดยเฉพาะที่ไม่กระทบต่อการรักษาความปลอดภัยยกตัวอย่าง...เคยไปดูงาน “ประเทศจีน” มีระบบพิจารณาคดีผ่าน “โทรศัพท์” ในการสืบพยาน หรือคำสั่งศาล ส่วนคู่ความ หรือญาติ ต้องใช้รหัสผ่าน เฉพาะในการเข้ารับฟังพิจารณาคดีได้ ที่เป็นเรื่องเทคโนโลยีโดยแท้ปัจจุบัน “ในประเทศไทย” ก็มีการสืบพยานผ่าน “วิดีโอคอนเฟอเรนซ์” มักเกิดขึ้นในศาลชำนาญพิเศษ เช่น ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ เพราะมีปัจจัยในตัวพยานบางคนอาศัยอยู่ต่างประเทศ ไม่สะดวกมาให้การในศาลได้ ทำให้คู่ความตกลงกัน ในการใช้ “วิดีโอคอนเฟอเรนซ์” ที่มีค่าใช้จ่ายสูงต่อมา “ศาลเยาวชนและครอบครัว” ก็มีการแยกห้องในการสืบพยานผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ เพื่อป้องกันการคุกคามให้สามารถตอบคำถามระหว่างสืบพยานได้อย่างเต็มที่ และตอนนี้ “ทุกศาล” มีการแยกห้องในการสืบพยานผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์เช่นกันนี่คือ...ประโยชน์การนำ “เทคโนโลยี” มาใช้ในกระบวนการ “ยุติธรรม” ที่ช่วยประหยัดงบประมาณ ลดความเสี่ยงผู้ต้องขังหลบหนี...ในอนาคต “หน่วยงานอื่น” อาจต้องปรับตัวให้พร้อมรองรับ “นิวนอร์มอล” ยิ่งขึ้นเป็นแน่.