ประเทศที่เป็นศัตรูกับรัฐบาลสหรัฐฯจะถูกปล้ำผีลุกปลุกผีนั่งทำให้เรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับประเทศนั้นทุกวัน อย่างที่จีนกำลังโดนอยู่ตอนนี้ สหรัฐฯโยนข้อหา ‘เลือกปฏิบัติ’ ไปที่จีนอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่ได้มองตัวเองเลยว่า สิ่งที่กำลังทำคือการเลือกปฏิบัติอย่างชัดเจนกลางเดือนพฤษภาคม 2563 กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯประกาศเกณฑ์ใหม่ ออกกฎคุมเข้มบริษัทต่างชาติที่ใช้อุปกรณ์ผลิตชิปของสหรัฐฯ ว่าจะต้องขอใบอนุญาตจากสหรัฐฯก่อนที่จะส่งมอบอุปกรณ์นั้นให้กับหัวเว่ย แม้ว่าจะผลิตนอกสหรัฐฯก็ตาม มหากาพย์ความพยายามกีดกันหัวเว่ยอย่างเข้มข้นเกิดขึ้นมานานนับปีแล้วย้อนไปเมื่อเดือนพฤษภาคม 2562 สหรัฐฯขึ้นบัญชีดำหัวเว่ยและบริษัทในเครือ พร้อมทั้งสั่งให้บริษัทของสหรัฐฯที่ต้องการส่งออกให้หัวเว่ยจะต้องขอใบอนุญาตจากทางการสหรัฐฯก่อน ที่หัวเว่ยโดนเล่นงานคราวนั้น เพราะรัฐบาลสหรัฐฯบอกว่า หัวเว่ยซึ่งเป็นบริษัทเครือข่ายการสื่อสารไร้สาย 5 จี ของจีน เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ แถมยังบอกว่ามีการใช้อุปกรณ์ของหัวเว่ยจารกรรมข้อมูลทางไซเบอร์ของโลกตะวันตกด้วย22 พฤษภาคม 2563 กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯประกาศเตรียมขึ้นบัญชีดำทั้งหน่วยงานรัฐ รัฐวิสาหกิจ และบริษัทเอกชนของจีนเพิ่มอีก 33 แห่ง มี 7 บริษัท และสถาบัน 2 แห่งโดนข้อหาร่วมละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อชาวอุยกูร์ ในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ผ่านนโยบายกดขี่และใช้เทคโนโลยีขั้นสูงสอดแนมชาวอุยกูร์ ส่วนอีก 24 แห่ง โดนข้อหามีส่วนเกี่ยวข้องกับการสนับสนุนจัดหาเครื่องมือเครื่องไม้ การผลิตอาวุธทำลายล้าง และกิจกรรมทางการทหารให้แก่กองทัพจีน ทำให้สหรัฐฯกังวลเรื่องความมั่นคงภายในเดือนตุลาคม พ.ศ.2562 กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เคยประกาศขึ้นบัญชีดำหน่วยงานด้านความมั่นคงของจีนและบริษัทเอกชนจีนไปแล้ว 28 แห่ง ตอนนั้นหน่วยงานเหล่านี้ก็ถูกข้อหาเดียวกันคือร่วมละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อชาวอุยกูร์บริษัทที่ถูกขึ้นบัญชีดำครั้งล่าสุดมักจะเป็นบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเอไอหรือเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และระบบจดจำใบหน้า อย่างเน็ตโปซา (NetPosa) บริษัทผู้ผลิตและพัฒนาเทคโนโลยีเอไอที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของจีนNetPosa ถูกรัฐบาลสหรัฐฯ กล่าวหาว่าเป็นผู้ผลิตเทคโนโลยีจดจำใบหน้าให้ฝ่ายความมั่นคงของจีนให้สอดแนมชาวอุยกูร์แบบเฉพาะเจาะจง รวมทั้งฉีหู่ 360 หรือ Qihoo 360 บริษัทความมั่นคงด้านไซเบอร์รายใหญ่ของจีน เป็นบริษัทที่เมื่อเดือนมีนาคม 2563 พบหลักฐานว่าสำนักข่าวกรองกลางสหรัฐฯหรือซีไอเอใช้เครื่องมือแฮ็กเข้าโจมตีอุตสาหกรรมการบินของจีน หรือแม้แต่คลาวด์ไมด์ส หรือ CloudMinds บริษัทที่ให้บริการคลาวด์ที่รองรับการผลิตหุ่นยนต์ นี่ก็โดนหางเลขถูกขึ้นบัญชีดำไปด้วยบริษัทที่ถูกขึ้นบัญชีดำของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯจะถูกจำกัดการเข้าถึงสินค้าที่ผลิตในสหรัฐฯ หรือแม้แต่สินค้าที่ผลิตในต่างประเทศแต่ใช้เนื้อหาหรือเทคโนโลยีของสหรัฐฯ โดยผู้ผลิตที่ประสงค์จะขายของให้บริษัทที่ขึ้นบัญชีดำจะต้องขออนุญาตจากรัฐบาลสหรัฐฯเป็นกรณีๆไป และส่วนใหญ่มักจะถูกปฏิเสธไม่ว่าจีนจะโดนสหรัฐฯโจมตีมากมายหลายเรื่อง แต่ก็ไม่เห็นว่าในอดีตจีนจะตอบโต้อะไรสหรัฐฯมาก ทว่าล่าสุด สื่อจีนบอกว่า อ้า ตอนนี้จีนจะไม่เฉยแล้วครับ จีนกำลังวางแผนที่จะตอบโต้สหรัฐฯเหมือนกัน ทั้งการสอบสวน การกำหนดข้อจำกัดต่างๆกับบริษัทอเมริกัน อย่างบริษัทแอปเปิล หรือการระงับซื้อเครื่องบินจากบริษัทโบอิ้ง รวมทั้งจะประกาศรายชื่อบริษัทอเมริกันซึ่งเป็นองค์กรที่ไม่มีความน่าเชื่อถือสหรัฐฯ สกัดดาวรุ่งมุ่งหวังให้บริษัทจีนเสียชื่อเสียงและเสียหายทางเศรษฐกิจ ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อนชาวโลกอาจจะตื่นตระหนกตกใจบ้าบอคอแตกไปตามสหรัฐฯแต่ตอนนี้คนส่วนใหญ่รู้เช่นเห็นชาติว่าสหรัฐฯเที่ยวโพนทะนาด่าตำหนิคนอื่น ตัวเองนั้นแหละทำผิดมากกว่าใครเพื่อนหลายประเทศโดนสหรัฐฯเล่นงานย้ำๆ ซ้ำๆ จนเจ๊งแต่ไม่ใช่จีนใน พ.ศ.2563 นี้แน่ วันนี้จีนพันธมิตรเพิ่มมากขึ้นอย่างนึกไม่ถึง ส่วนใหญ่เป็นประเทศที่ไม่เห็นด้วยกับการปฏิบัติอย่างไม่แฟร์ของสหรัฐฯ.นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัยsonglok1997@gmail.com