ปมเหตุการตายของ “พี่เตี้ย มช.” สุนัขขวัญใจชาว ม.เชียงใหม่ เจ้าของตำนานที่รู้จักกันมาจาก “ประเพณีรับน้องขึ้นดอย” มักเห็นสุนัขแสนรู้ตัวนี้ออกวิ่งร่วมกับนักศึกษาทุกปี ก่อนที่ “หายตัวไป” สุดท้ายกลายเป็น “ศพ” ถูกนำไปทิ้งไว้ในป่าในซอยพระนาง ต.ช้างเผือก อ.เมืองเชียงใหม่ไม่กี่วัน “เพจเตี้ย มช.” โพสต์ภาพ “พี่เตี้ย มช.” ระบุว่า...พี่เตี้ยเดินทางไปดาวหมาแล้ว ได้รับการยืนยันจากไมโครชิปที่ติดตัว ต่างมีความเชื่อว่า...“เป็นการตายอย่างปริศนา และมีเงื่อนงำโดนฆาตกรรม”...กระทั่งร่างของ “พี่เตี้ย มช.” ถูกส่งศูนย์ชันสูตรโรคสัตว์ รพ.สัตว์ ม.เชียงใหม่ ระบุว่า วินิจฉัยการตายเบื้องต้น จากการถูกกระแทกอย่างรุนแรงบริเวณ ขาหลังและช่วงล่างของลำตัว มีการฉีกขาดของกระเพาะปัสสาวะส่วนรอยแตกของกะโหลกที่พบอาจเป็นหลังจากตาย เนื่องจากไม่พบการอักเสบของเนื้อเยื่อและเลือดออกบริเวณดังกล่าว ก่อนที่ “มูลนิธิวอชด็อก ไทยแลนด์” นำพยานหลักฐานมอบให้พนักงานสอบสวน สภ.ช้างเผือก อ.เมืองเชียงใหม่ ในการนำตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไปนับว่า...“เป็นข่าวร้าย” สร้างความโศกเศร้าและสะเทือนใจให้กับคนรักสุนัข โดยเฉพาะชาว ม.เชียงใหม่ ท่ามกลางความแคลงใจ และต่างออกมา เรียกร้องอยากให้ “พี่เตี้ย มช.” ได้รับความเป็นธรรม นำผู้กระทำผิดได้รับโทษ ตามกฎหมายอีกด้วยแง่ข้อกฎหมายเกี่ยวกับคดีนี้ รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล ผช. อธิการบดี และประธานกรรมการคณะอาชญาวิทยาและการบริหารงานยุติธรรม ม.รังสิต เห็นว่า ในคดีเกี่ยวกับสัตว์ นับตั้งแต่ “เจ้าของสุนัข” มีการแจ้งความ ดำเนินคดี ตำรวจก็ต้องดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมาย ซึ่งการทารุณกรรมสัตว์ เป็นความผิดอาญา ส่วนการดำเนินคดีต้องดูว่า...“กฎหมายอาญา” มีส่วนใดเกี่ยวข้องบ้าง เพื่อให้สามารถดำเนินการตรงตามบทบัญญัตินั้น ในการนี้คำว่า “เจ้าของ” หมายถึง...“เจ้าของกรรมสิทธิ์” รวมถึง “ผู้ครอบครองสัตว์” หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลจากเจ้าของกรรมสิทธิ์ เพราะกฎหมายกำหนดให้ “สุนัข” เป็น “ทรัพย์”...ในกรณี “พี่เตี้ย มช.” มักพักอาศัยใน ม.เชียงใหม่ แตกต่างจาก “สุนัข จรจัดอื่น” เพราะมีคนดูแลให้อาหารทุกวัน เสมือนอาจเป็น “เจ้าของ” ถ้าเป็น เช่นนั้นก็อาจจะมีอำนาจมอบให้ “มูลนิธิวอชด็อก ไทยแลนด์” แจ้งความดำเนินคดี ทำให้ครบองค์ประกอบของความเป็น “เจ้าของ” ในการดำเนินคดีอาญาเพราะ “ตายผิดธรรมชาติ” ไม่ใช่ตายแบบธรรมชาติ เช่น มีอายุมาก แก่ชราตาย หรือเจ็บป่วยตายเอง ทำให้มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการทารุณกรรมสัตว์ขึ้น ดังนั้น “ตำรวจ” ต้องสืบสวนสอบสวนค้นหาข้อเท็จจริงนี้ ทั้งจากพยานหลักฐานต่างๆ เช่น ภาพจากกล้องวงจรปิด พยานบุคคล และพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ เป็นต้นเบื้องต้นมองว่า...“การหายตัวไปของสุนัข” หากนำความผิดเกี่ยวกับทรัพย์มาพิจารณา คือ “ข้อหาลักทรัพย์” ป.อาญา ม.334 บัญญัติว่า “ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น” หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต ผู้นั้นกระทําความผิดฐานลักทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี และปรับไม่เกินหกพันบาทจากนั้นต้องมาดูต่อว่า...“บุคคล” นำพาตัว “สุนัข” ไปนั้น มีเจตนาเพื่ออะไร หากการนำไปจุดประสงค์เพื่อขับรถเล่น และเกิดอุบัติเหตุขึ้น ในเรื่องนี้ก็ต้องพิสูจน์ข้อเท็จจริงนั้นต่อไป แน่นอนว่า...หากบุคคลนั้นไม่ใช่เจ้าของ “เอาสุนัขไป” ย่อมมีความผิดเกิดขึ้นสำเร็จแล้ว ในความผิดฐานลักทรัพย์นี้ ด้วยเหตุที่ไม่ใช่เจ้าของทรัพย์นั้น สำหรับองค์ประกอบ “การเอาไป” เริ่มตั้งแต่การพาเคลื่อนที่ไป ลักษณะแย่งการครอบครองกรรมสิทธิ์การเป็นเจ้าของโดยเจตนาทุจริต จะเป็นระยะใกล้ หรือไกลเพียงใดก็ตาม เช่น หลอกล่อสุนัขให้เดินตามแล้วจับขึ้นรถเคลื่อนที่ไป หรือใช้กำลังบังคับจับไป ถือว่ามีการกระทำผิดเกิดขึ้นแล้ว“แม้ว่า “พี่เตี้ย มช.เป็นสุนัข” แต่ก็มีชีวิต และทุกชีวิตต่างก็รักในชีวิตตัวเองเหมือนกัน ทำให้สาระสำคัญในการสืบสวนเรื่องนี้...หากทำให้ความจริง ปรากฏต่อสังคม...นำผู้ทำผิดมาลงโทษตามกฎหมาย...เพื่อให้บุคคลอื่นที่คิดจะก่อเหตุลักษณะเดียวกันนี้ มีความเกรงกลัวต่อการลงโทษ” รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ว่าจริงๆแล้ว...“คดีอาญา” ในการกระทำความผิดที่เกี่ยวกับสัตว์ หรือคดีเกี่ยวกับคน มีกระบวนการสอบสวนคดีที่คล้ายๆกัน ขึ้นอยู่กับว่าเป็นการกระทำความผิดในเรื่องใด กรณีการตาย “พี่เตี้ย มช.” ที่มีนักศึกษาและบุคลากร ม.เชียงใหม่ มีความผูกพันอยู่จำนวนมาก และยังมีความ “แคลงใจ” สาเหตุ การตายครั้งนี้ด้วยดังนั้นต้องสืบสวนสาเหตุให้ชัดเจนว่า เกิดจาก “อุบัติเหตุ” หรือ “ถูกทารุณกรรม” เพื่อไขความกระจ่างให้กับสังคม เพราะหากเป็นการ “ทารุณกรรม” ไม่มีการนำตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมาย อาจมีผลให้บุคคลนั้น ก่อเหตุไปกระทำความผิดกับ “สัตว์อื่น” หรือ “ทรัพย์สินของผู้อื่น” รวมถึง “บุคคลอื่น” ด้วยก็ได้ เคยมีข้อมูลทางวิชาการในหลักอาชญาวิทยา ระบุว่า บุคคลชอบทารุณกรรมสัตว์บ่อยๆ เช่น ไล่ทำร้ายใช้ปืนยิงสุนัขข้างถนน หรือทุบตีสัตว์อื่นอย่างโหดร้าย เรียกว่า “พฤติกรรมเบี่ยงเบนและเป็นการละเมิดกฎหมาย” ทำให้อาจเกิดการละเมิดกฎหมายรุนแรงขึ้น มีโอกาสนำไปสู่ การทารุณกรรมคนตามมาต่อไปส่วนเรื่องคดี...กฎหมายให้อำนาจแก่พนักงานสอบสวนในการรวบรวมพยานหลักฐานทั้งปวง เพื่อแสวงหาผู้กระทำความผิดอย่างเต็มที่ เพราะกฎหมายไทยเป็นระบบกล่าวหา เมื่อเจ้าทุกข์แจ้งความกับตำรวจในข้อสงสัยสภาพ การตาย “พี่เตี้ย มช.” ดังนั้น “ตำรวจ” ก็มีหน้าที่ทำให้เรื่องนี้กระจ่างทุกประเด็น ข้อสงสัยนั้น...ทว่า... “การกล่าวหาผู้ต้องหา” เมื่อกฎหมายตีความว่า “สุนัขเป็นทรัพย์” ก็ย่อมแตกต่างจากการกล่าวหาความผิดกับคน ในการลงโทษกล่าวหา 2 ทางคือ ความผิดเกี่ยวกับ “ลักทรัพย์” หรือ “การทารุณกรรมสัตว์” ทำให้ วิเคราะห์ว่า “ข้อหาลักทรัพย์” มีโทษจำคุก ที่มีการลงโทษของความผิดรุนแรงกว่า “การทารุณกรรมสัตว์”ในเรื่องนี้หากตำรวจมีการสืบสวน พบว่าผู้กระทำนำสุนัขไปโดยทุจริตก็มีความผิดฐานลักทรัพย์ แต่ถ้ามีหลักฐานเพิ่มเติม เช่น ในการพาไปนั้น มีการมัดกับท้ายรถลากไปตามถนน ก็เป็นลักษณะการทารุณกรรมสัตว์ ซึ่งต้องติดตามพยานที่เห็นเหตุการณ์มาให้การในครั้งนี้ด้วยลักษณะความผิดอาญากรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทหนัก หรืออาจเป็นการกระทำต่างกรรม ต่างวาระกับการกระทำ ในครั้งแรก ต้องเป็นเรื่องของพนักงานสอบสวนที่ต้องสอบสวนให้ข้อเท็จจริง ปรากฏ และต้องปรับข้อเท็จจริงให้เข้ากับบทบัญญัติของข้อกฎหมายนั้น... สิ่งสำคัญ...ในการตั้งข้อกล่าวหา...ต้องขึ้นอยู่กับ “พยานหลักฐาน” มีความเชื่อมโยงกับความผิดด้วย เช่น มีคนแจ้งความคดีสุนัขหาย ในฐานลักทรัพย์ และทารุณกรรมสัตว์ ปรากฏว่า ตำรวจสืบสวนสอบสวนค้นหาหลักฐานตามกล้องวงจรปิด มีการพาสุนัขไปจริง แต่สุนัขกระโดดลงจากรถเอง และโดนรถตามมาทับตายสันนิษฐานว่า...“คนพาสุนัขไป” อาจมีเจตนาพาขับรถเที่ยวแล้วเกิดอุบัติเหตุ เว้นแต่มีพยานเห็นพาไปแล้วนำไปทรมาน เช่น ใช้ไม้ไล่ตีจนตาย มีคนได้ยินเสียง เห็นเหตุการณ์ ลักษณะนี้อาจแจ้งข้อหาทารุณกรรมสัตว์ได้แต่ไม่สามารถแจ้งข้อกล่าวหาแก่ผู้กระทำความผิด “ฆ่าสุนัขโดยเจตนา หรือฆ่าสุนัขโดยไตร่ตรองไว้ก่อนได้” เพราะ “สุนัข” กฎหมายตีความว่า “เป็นทรัพย์” ที่ไม่ใช่ “มนุษย์” หรือ “คน” จึงแจ้งข้อกล่าวหาฆ่าโดยเจตนาไม่ได้ ทำให้ต้องลงโทษตามความผิดฐานอื่น หรือ “ทารุณกรรมสัตว์” ตามที่กฎหมายบัญญัติเท่านั้นประการต่อมา...“คดีพี่เตี้ย มช.” มีความผิดแตกต่างจาก “คดีคน” เพราะ คนมีความซับซ้อนมากกว่า ซึ่งการที่ “คนร้าย” จะไป “ทำร้าย” หรือ “ฆ่าคน” ต้องมีสาเหตุโกรธเคือง ชู้สาว หรือความขัดแย้งกันก่อน แต่ “สุนัข” ไม่มีเรื่องเกี่ยวกับ พวกนี้เข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะเป็นสัตว์ ทำให้คดีคงไม่มีความซับซ้อนมากนักซึ่งไม่ใช่ว่า...“เหตุทำร้ายสัตว์” ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพราะเหตุทำร้ายสัตว์ หรือทารุณกรรมสัตว์นี้ก็เกิดขึ้นบ่อยครั้ง มีการแจ้งความดำเนินคดีลงโทษอยู่ตลอด สำหรับเรื่อง “พี่เตี้ย มช.” เป็นประเด็นมาจาก “พี่เตี้ย” เป็นมากกว่านิยามคำว่า “สุนัข” มีความผูกพันของนักศึกษาจากรุ่นสู่รุ่น...ทำให้การตาย “พี่เตี้ย มช.” กลายเป็นเรื่องน่าเศร้า...คนที่ผูกพันจึงรอ “คลี่คลายข้อสงสัย”...ในการปิดตำนานสุนัขเซเลบชื่อดัง “พี่เตี้ย มช. สุนัขขวัญใจ มช.” โด่งดังงานประเพณีรับน้องขึ้นดอยย้ำว่า...“สุนัข” ก็เป็น “สัตว์มีชีวิต” ต้องให้ความสำคัญแก่ “ทุกชีวิต” ใครกระทำความผิดต่อชีวิตคนอื่น...คนนั้นก็ควรต้องรับโทษตามกฎหมาย...