“ประชาชนชาวคาร์เธจทำการถวายบุตรของตนแด่เทพเจ้า ผู้ใดไร้ซึ่งบุตรจะจัดหาซื้อเด็กมาจากพ่อแม่ที่ยากไร้ แล้วเฉือนตัดลำคอของเด็กๆ ออกไม่ต่างจากที่กระทำกับแกะหรือนกตัวจ้อย ในระหว่างนั้น มารดาของเด็กน้อยจะจ้องมองโดยไร้ซึ่งน้ำตาหรือเสียงคร่ำครวญ แต่ถ้าเมื่อใดที่เธอเผลอเปล่งเสียงร้องหรือปล่อยให้น้ำตาไหลร่วง เธอจะถูกปรับเงินและบุตรของเธอก็จะยังคงถูกสังหารอยู่เช่นเดิม ; พื้นที่เบื้องหน้ารูปสลักอื้ออึงไปด้วยเสียงขลุ่ยและเสียงกลอง ดังกระหึ่มเสียจนเหล่าประชาชนไม่มีทางได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญใดๆได้เลย”ข้อความด้านบนนี้นำมาจากเนื้อหาส่วนหนึ่งที่นักประวัติศาสตร์ชาวกรีกนามว่า “พลูทาร์ค” (Plutarch) เขียนเอาไว้ในเอกสาร “โมราเลีย” (Moralia) กล่าวถึงพิธีกรรมสุดโหดของชาวคาร์เธจ (Carthaginians) ในประเทศตูนิเซียทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปแอฟริกาที่ทำการ “บูชายัญเด็ก” เพื่อถวายเป็นเครื่องบูชาแด่เทพเจ้า แต่สิ่งที่น่าสลดยิ่งกว่านั้นก็คือชาวคาร์เธจไม่ใช่ชนกลุ่มเดียวที่บูชายัญเด็กหรอกนะครับ เพราะนักโบราณคดีค้นพบหลักฐานของการ “บูชายัญเด็ก” เช่นนี้ทั้งในดินแดนโลกเก่าและดินแดนโลกใหม่เลยทีเดียว และในครั้งนี้คอลัมน์ไทยรัฐซันเดย์สเปเชียลโดยทีมงานนิตยสารต่วย’ตูนจะพาแฟนานุแฟนไปดูกันครับว่า ชนโบราณที่เคยบูชายัญเด็กไร้เดียงสาจะมีใครบ้าง โดยเริ่มต้นจากชาวคาร์เธจกันก่อนเลยครับนอกจากบันทึกของพลูทาร์คแล้ว เอกสารของนักประวัติศาสตร์ชาวกรีกอีกท่านหนึ่งที่มีชื่อว่า“ดิโอโดรัส ซิคูลัส” (Diodorus Siculus) ยังได้เขียนถึงการบูชายัญเด็กของชาวคาร์เธจเอาไว้ว่า ศพเด็กกว่าหนึ่งร้อยร่างจากวัฒนธรรมชิมู คือหลักฐานการบูชายัญเด็กเพื่ออ้อนวอนต่อธรรมชาติ.“ทั่วทั้งเมืองคาร์เธจ มองไปทางใดก็เห็นแต่เทวรูปของเทพเจ้าบาอัล ผู้กระหายในร่างบูชายัญของทารกน้อยผู้น่าสงสาร ร่างของพระองค์ใหญ่โต ท่วงท่าดูแปลกประหลาด แขนทั้งสองข้างยกขึ้น ตั้งฉากกับลำตัว ยื่นไปด้านหน้ากดต่ำลงเล็กน้อย เบื้องล่างพระหัตถ์ของเทวรูปเป็นทะเลเพลิงขนาดมหึมา เปลวไฟแดงฉานพร้อมที่จะหลอมละลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ร่วงหล่นลงไป”แรกเริ่มเดิมทีนักประวัติศาสตร์คิดว่านี่เป็นเพียงแค่การที่นักประพันธ์ชาวกรีกพยายามใส่ร้ายป้ายสีชาวคาร์เธจให้ดูเป็น “คนเถื่อน” หรือไม่ แต่ การขุดค้นพบโกศบรรจุกระดูกจากโทเฟต (Tophet) ซึ่งเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ในเมืองคาร์เธจกลับไม่สนับสนุนแนวคิดนี้ ทำให้นักประวัติศาสตร์ต้องกลับมาคิดทบทวนกันใหม่ว่าสิ่งที่ปรากฏในงานเขียนดึกดำบรรพ์เหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่จินตนาการที่ชาวกรีกเสริมแต่งลงไป ทว่าเป็นเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริงๆอย่างแน่นอนในปัจจุบัน นักโบราณคดีเปิดกว้างที่จะยอมรับว่าชาวคาร์เธจและเมืองอาณานิคมของชาวฟินิเชียนอาจจะทำการบูชายัญเด็กทารกเพื่อถวายเป็นเครื่องบรรณาการแด่เทพเจ้า “บาอัล” (Baal) และพระนางทานิต (Tanit) จริง ด้วยว่ามีการค้นพบข้อความอุทิศที่บิดามารดาของเด็กทารกได้เขียนเอาไว้บนแผ่นหินเหนือซากศพอันมอดไหม้ของทารกบางร่างอย่างชัดเจนว่าขอให้เทพเจ้า “ได้ยินเสียงของข้าและอวยพรให้ข้า” ดังนั้นนักโบราณคดีจึงตั้งทฤษฎีขึ้นมาว่า บางทีสาเหตุที่ชาวคาร์เธจต้องออกมาตั้งอาณานิคมการค้าห่างจากเมืองดั้งเดิมของชาวฟินิเชียนซึ่งอยู่ในประเทศเลบานอนนั้นอาจจะมาจากเหตุผลที่ว่าชาวฟินิเชียนพื้นถิ่นไม่ยอมรับในประเพณีอันแสนโหดร้ายของการบูชายัญทารก พวกเขาจึงออกมาตั้งอาณานิคมอันห่างไกลเอาไว้ถึงประเทศตูนิเซียเพื่อที่จะสานต่อประเพณีของตนเองได้ต่อไป มัมมี่เด็กชาวอินคา แสดงหลักฐานว่าถูกมอมยาอย่างหนักก่อนเสียชีวิต.อีกหนึ่งกลุ่มชนที่มีบันทึกว่าพวกเขาทำการบูชายัญเด็กเช่นกันก็คือชาวอิสราเอล แต่หลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการบูชายัญเด็กของชาวอิสราเอลส่วนใหญ่มักจะมาจากเนื้อหาในพระคัมภีร์ไบเบิล ทำให้เราไม่อาจบอกได้เลยว่าพวกเขาเคยมีประเพณีนี้จริงหรือไม่การบูชายัญหรือถวายเด็กแด่เทพเจ้าปรากฏให้เห็นในพระคัมภีร์ไบเบิลหลากหลายบท โดยเฉพาะบทอพยพ 13:2 (Exodus 13:2) ที่กล่าวว่า “จงถวายลูกหัวปีทั้งปวงแก่เรา คือทุกสิ่งของชนชาติอิสราเอลที่ออกจากครรภ์ครั้งแรก จะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ สิ่งนั้นเป็นของของเรา” สะท้อนให้เห็นว่าพระยาห์เวห์ (Yahweh) ปรารถนาในบุตรหัวปี ซึ่งนอกจากการบูชายัญแล้ว พระคัมภีร์ไบเบิลยังบอกเป็นนัยว่าบางครั้งพ่อกับแม่ของเด็กยัง “กิน” ลูกของตัวเองอีกด้วยครับ!!พระคัมภีร์บท 2 พงศ์กษัตริย์ 6:28-29 (2 Kings 6:28-29) กล่าวว่า “และกษัตริย์ทรงถามนางว่า ‘เจ้าเป็นอะไรไป’ นางทูลตอบว่า ‘หญิงคนนี้บอกข้าพระองค์ว่า ‘เอาลูกชายของเจ้ามาให้เรากินเสียวันนี้เถิด และเราจะกินลูกชายของฉันวันพรุ่งนี้’ เราจึงต้มลูกชายของข้าพระองค์และกิน และรุ่งขึ้นข้าพระองค์ก็พูดกับนางว่า ‘เอาลูกชายของเจ้ามา เพื่อเราจะกินเสีย’ และนางก็ซ่อนลูกชายของนางเสีย” สำหรับนักวิชาการแล้ว พวกเขาตีความว่าชาวอิสราเอลบางกลุ่มยังคงมองว่า “เด็ก” นั้นยังขาด “ความเป็นมนุษย์” ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้สึกรู้สาอะไรนักเมื่อจะเข่นฆ่า บูชายัญ หรือแม้แต่ “กิน” ลูกของตัวเอง มีหลักฐานของศพทารกที่ถูกเผาในเมืองคาร์เธจ ซึ่งอาจจะเกิดจากการบูชายัญ.แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าชาวอิสราเอลจะเย็นชาและประพฤติกับเด็กแบบไม่ยินดียินร้ายนะครับ เพราะพระคัมภีร์บางบทก็กล่าวถึงฉากที่ชาวอิสราเอลเศร้าโศกเสียใจเมื่อพวกเขาต้องสูญเสียลูกหลานของตนเองไปด้วยเช่นกัน นั่นจึงทำให้การตีความพระคัมภีร์เกี่ยวกับการบูชายัญเด็กไม่สามารถตีความแบบตรงไปตรงมาได้เสมอไป แต่ถึงอย่างนั้น อย่างน้อยเราก็พอจะมีข้อมูลว่าบางทีชาวอิสราเอล “อาจจะ” เคยมีประเพณีอันโหดร้ายนี้ด้วยก็เป็นได้ครับข้ามจากดินแดนโลกเก่ามายังดินแดนโลกใหม่หรือทวีปอเมริกากันบ้างครับ เชื่อว่าเมื่อกล่าวถึงการบูชายัญในทวีปอเมริกา ชนเผ่าแรกที่หลายๆท่านน่าจะนึกถึงก่อนใครเพื่อนคือ “ชาวแอสเท็กซ์” (Aztecs) ที่รุ่งเรืองอยู่ในประเทศเม็กซิโก พวกเขามีการบูชายัญมนุษย์กันเป็นล่ำเป็นสันด้วยการ “ควักหัวใจ” ออกมาถวายแด่เทพเจ้า โดยส่วนใหญ่แล้วเหยื่อมักจะอยู่ในวัยกลางคน ไม่ใช่ “เด็ก” แต่ก็ไม่ปฏิเสธว่าชาวแอสเท็กซ์เคยบูชายัญเด็กด้วยเหมือนกัน!! หลักฐานของการบูชายัญอันแสนโหดร้ายนี้ปรากฏให้เห็นในบริเวณวิหาร “เทมพลอ มายอร์” (Templo Mayor) กลางกรุงเม็กซิโกซิตี ถึงอย่างนั้นหลักฐานการบูชายัญเด็กของชาวแอสเท็กซ์ก็ไม่ได้กระทำกันจนเป็นกิจวัตรหรอกครับ เพราะหลักๆ แล้วมีการค้นพบศพเด็กที่ถูกนำมาบูชายัญเพียงแค่สองร่างเท่านั้นเองศพแรกเรียกขานกันว่า “เครื่องบูชา 111” (Offering 111) เป็นเด็กอายุเพียงแค่ 5 ขวบที่ถูกฆ่าบูชายัญด้วยการ “ควักหัวใจ” ออกจากร่างและได้รับการตกแต่งศพด้วย “ปีก” คล้ายนกเหยี่ยวเพื่อเลียนแบบเทพเจ้า อีกศพหนึ่งที่พบหลักฐานว่าถูกบูชายัญเรียกว่า “เครื่องบูชา 176” (Offering 176) ถูก ฝังเอาไว้ในสุสานรูปทรงกระบอกดูแปลกตา แตกต่างออกไปจากสุสานอื่นๆ ของชาวแอสเท็กซ์อีกราว 204 หลุมที่ค้นพบในบริเวณเดียวกัน ตัวสุสานสร้างจากการนำเอาหินมาเรียงซ้อนกันเป็นหลุมทรงกระบอกแล้วฉาบด้วยปูน วางศพลงไปตรงกลาง มีการประดับตกแต่งศพอย่างงดงามพร้อมด้วยเครื่องบรรณาการให้ผู้วายชนม์นำไปใช้ในโลกหน้า “เครื่องบูชา 176” ในสุสานรูปทรงกระบอก คือหลักฐานการบูชายัญเด็กของชาวแอสเท็กซ์.จากการตรวจสอบศพของ “เครื่องบูชา 176” พบว่าเขาคือเด็กชายที่น่าจะมีอายุเพียงแค่ 8 ถึง 10 ขวบเท่านั้น และน่าจะถูกฝังในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 15 ศพของเด็กได้รับการตกแต่งด้วยเครื่องประดับที่แสดงถึงเครื่องยศของเทพเจ้าวีทซีโลโพชทลิ (Huitzilopochtli) ผู้ซึ่งเป็นทั้งสุริยเทพและเทพเจ้าแห่งสงครามของชาวแอสเท็กซ์ พระองค์จะต้องเข้าร่วมสงครามทุกค่ำคืนเพื่อขับไล่ความมืดมิด นักโบราณคดีจึงเสนอกันว่าเด็กน้อยผู้ทำหน้าที่เป็น “เครื่องบูชา 176” น่าจะถูกบูชายัญเพื่อให้พระองค์มีชัยเหนือความมืดมิดและนำพาแสงสว่างกลับคืนสู่ชาวแอสเท็กซ์ได้อีกครั้งในขณะที่หลักฐานการบูชายัญเด็กในภูมิภาคอเมริกากลางไม่ค่อยปรากฏให้เห็นมากนัก แต่ในทวีปอเมริกาใต้ถือว่าแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ด้วยว่ามีประเพณีการบูชายัญเด็กกันเป็นล่ำเป็นสัน หนึ่งในนั้นคือชนเผ่า “อินคา” (Inca) ที่รุ่งเรืองอยู่ในประเทศเปรู ผู้สร้างมหานครบนยอดเมฆอย่าง “มาชู ปิคชู” (Machu Picchu) นั่นเองล่ะครับพิธีกรรมการบูชายัญเด็กของชาวอินคามีชื่อเรียกว่า “คาปาโคชา” (Capacocha) หมายความถึง “พันธสัญญาหลวง” นักโบราณคดีทราบถึงประเพณีการบูชายัญเด็กจากบันทึกของนักบวชและกองกิสตาดอร์ (Conquistador) ชาวสเปนนามว่า “เบอร์นาเบ โคโบ” (Bernabe Cobo) ซึ่งเขียนเอาไว้ว่ากษัตริย์ชาวอินคาต้องการเด็กทั้งชายหญิง อายุระหว่าง 4 ถึง 16 ปีที่มีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงเพื่อมาเป็นเครื่องบูชาโดยจะ “มอม” เด็กกลุ่มนี้ด้วยสารหลอนประสาทชนิดต่างๆ แล้วค่อยลงมือ “สังหาร” เป็นเครื่องสังเวยแด่เหล่าเทพเจ้า พระโมเลค (Moloch) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการบูชายัญตามพระคัมภีร์ไบเบิล.เด็กเหล่านี้มักจะถูกฝังเอาไว้บนเทือกเขาสูง ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชนเผ่าอินคา ด้วยสภาพอากาศอันหนาวเหน็บ ศพเด็กเหล่านั้นจึงกลายสภาพเป็นมัมมี่ตามธรรมชาติ และเมื่อนักโบราณคดีตรวจมัมมี่ของเหยื่อผู้โชคร้ายก็พบว่าเด็กบางคนถูกทำร้ายด้วยการทุบที่ศีรษะจนถึงแก่ความตาย หรือบ้างก็อาจจะถูกทำให้ขาดอากาศหายใจ บางคนถูกฝังทั้งเป็น!! บางรายถูกมอมเมาจนสิ้นสติด้วยใบโคคาและแอลกอฮอล์ มัมมี่บางร่างยังเคี้ยวใบโคคาอยู่เต็มปาก เด็กเหล่านี้เสียชีวิตในท่าทางที่ดูสงบนิ่งประหนึ่งว่าพวกเขาเข้าสู่ภวังค์จากฤทธิ์ยาแล้วหลับใหลไปชั่วนิรันดร์ชาวอินคาเชื่อว่าความวิปริตของธรรมชาติในดินแดนของพวกเขาเกิดจาก “เทพเจ้า” บันดาล ดังนั้นเมื่อภัยพิบัติเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นฝนตกหนัก แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด ชาวอินคาจะเลือกเหยื่อมาบูชายัญแด่เทพเจ้าเพื่อทำให้พระองค์สงบ ซึ่งเหยื่อส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นเชลยศึกสงคราม แต่บ่อยครั้งพวกเขาก็นิยมที่จะเลือก “เด็ก” มาเป็นเครื่องสังเวยด้วยเช่นกันอีกหนึ่งชนเผ่าที่จัดประเพณีอันแสนโหดร้ายนี้ขึ้นมาเพื่อปลอบประโลมธรรมชาติก็คือชาว “ชิมู” (Chimu) ที่รุ่งเรืองอยู่ในพื้นที่ประเทศเปรูเช่นกัน แต่พวกเขารุ่งเรืองอยู่ก่อนหน้าชาวอินคาราวหนึ่งร้อยปี หลักฐานการบูชายัญเด็กในวัฒนธรรมชิมูเกิดขึ้นในช่วงราวปี ค.ศ.1450 ด้วยว่ามีการค้นพบสุสานกลางผืนทรายที่อัดแน่นไปด้วยศพเด็กราว 140 ร่าง!! ยิ่งไปกว่านั้นหน้าอกของศพยังถูกเฉือนออกเพื่อนำเอา “หัวใจ” ออกจากร่างอีกด้วยครับ!! ภาพสลักของชาวฟินิเชียนอาจจะแสดงถึงเทพเจ้า (ซ้าย) กำลังถือภาชนะบรรจุ “เด็ก” ที่ถูกบูชายัญ.นักโบราณคดีค้นพบโคลนชั้นหนาบริเวณสถานที่ฝังศพของเด็กกว่าร้อยชีวิตที่ถูกนำมาบูชายัญ จึงมีการตั้งสมมติฐานกันว่าเด็กเหล่านี้อาจจะถูกนำมาสังเวยแด่เทพเจ้าเพื่อ “ยุติ” ปัญหาฝนตกหนักจากสภาพอากาศที่แปรปรวน ด้วยความเชื่อว่าการเซ่นสังเวยเด็กอายุระหว่าง 5 ถึง 14 ปีจำนวนมากกว่าหนึ่งร้อยชีวิตเช่นนี้จะทำให้พวกเขารอดพ้นจากภัยพิบัติอันแสนเลวร้ายได้คงจะเห็นกันแล้วนะครับว่า ประเพณีการบูชายัญที่ใช้เด็กมาเป็นเครื่องสังเวยมักจะจัดขึ้นเพื่อตอบสนองต่อวัตถุประสงค์บางอย่างเสมอแต่การเสียสละอันยิ่งใหญ่ของเด็กกลุ่มนี้จะเคยสร้างผลสำเร็จดังที่ผู้ใหญ่บางกลุ่มปรารถนาบ้างหรือไม่นั้น น่าเสียดายที่เราไม่อาจล่วงรู้ได้เลย...โดย :ณัฐพล เดชขจรทีมงาน นิตยสาร ต่วย'ตูน