ถึงวันนี้...คนทั้งโลกก็ยังสลัดเข้า ไวรัสบูลลี่สัตว์สู่คน “โควิด-19” จาก “นกมีหูหนูมีปีก” ตระกูลค้างคาวไปไม่พ้นขณะประเทศจีน...เริ่มส่งสัญญาณดีขึ้น จากการปิดโรงพยาบาลสนาม 16 แห่ง ในเมืองอู่ฮั่นไปบวกกับปลดล็อกประชาชนออกมาใช้ชีวิตนอกชายคาบ้านได้และเลิกพันธนาการให้เที่ยวกันเองภายในมณฑล ก่อนข้ามไปมณฑลอื่น แต่ก็ยังห้ามเที่ยวต่างประเทศแบบไม่มีกำหนดผิดกับอิตาลี...ที่รับชะตากรรมแทนจีน ให้ต้องจำกัดผู้คนอยู่แต่ที่พัก ห้ามจัดงานแต่งและงานศพ...โรงภาพยนตร์ ผับบาร์ โรงยิม สระว่ายน้ำ พิพิธภัณฑ์ ลานสกี รีสอร์ต ถูกสั่งปิด กีฬาแข่งขันได้...แต่ห้ามคนเข้าไปดูร้านอาหารเปิดได้ 6 โมงเช้าถึง 6 โมงเย็น ลูกค้าให้นั่งห่างกัน 1 เมตร...บรรยากาศเช่นนี้หลายคนให้รู้สึกเสมือนว่านี่คือนรกบนดิน ชัดๆ ไม่บันเทิงแสนสุขชื่นมื่นเหมือนในวันวานประเทศเสี่ยงตามมา ได้แก่ เกาหลีใต้ อิหร่าน ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส สเปน ซึ่งอ่วมไม่ต่างกันวันที่ 7 เมษายน 2563 ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาด ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. แถลง สถานการณ์ในประเทศไทย ระบุตัวเลขป่วยสะสมอยู่ที่ 2,258 คน เพิ่มขึ้น 38 รายมีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 1 ศพ...ซึ่งเป็นผู้เสียชีวิตรายที่ 27ย้อนไปก่อนหน้านี้ ถึงแม้ว่าเมืองไทยจะมีมาตรการคุมเข้มยกเลิกวีซ่าและวีซ่าที่สนามบิน (OAR) แก่ประเทศกลุ่มเสี่ยง จนทั่วโลกขยับปากชมแล้วก็ตาม แต่ทว่า...ในแวดวงการแพทย์ ความมั่นคงทางสุขภาพก็มีกรณีบุคลากรทางการแพทย์ขาดหน้ากากอนามัยปฏิบัติงาน...ประชาชนขัดสนยากจะหามาใช้ อีกทั้งยังขาดแคลนเครื่องป้องกันอื่นๆที่จำเป็น และมีผลต่อการ ทำงานโดยตรงของหมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่บุคลากรสาธารณสุขที่ เปรียบเสมือนเป็นแนวหน้าสู้รบกับไวรัสโควิด-19 อีกมากมายจิปาถะและ...อีกเรื่องที่สะท้านหัวใจไปไม่แพ้กัน ด้วยฟากฝั่งการท่องเที่ยวก็เหมือนจะมี “ซีรีส์พิลึก”...จากมรสุมโควิด-19 ในช่วงเวลาที่ผ่านมา เมื่อรัฐได้สั่งแอร์ไลน์ทั้งไทยและเทศงดบินสู่สถานีเสี่ยงหลายแห่ง ออกข่าวกำชับให้ “แอร์ไลน์” สายการบินคืนเงินผู้โดยสาร...เหมือนจะโกยคะแนนนิยมไปก่อนช่วงเวลานั้นผู้คนในแวดวงนี้ไม่น้อยบอกตรงกันว่าการทำเช่นนี้ เหมือนกับว่ารัฐดูจะบ้องตื้น “ลำไย”...ขาดความรู้ความเข้าใจในระบบแอร์ไลน์ ที่มีเกณฑ์กำหนดการคืนเงินอยู่แล้วและ...สำหรับต่างชาตินั้นอาจแตกต่างกันไปในรายละเอียด“การจะคืนเงิน...ระบุชัด หากเป็นตั๋วชั้นหนึ่งกับชั้นธุรกิจเต็มราคา ออกโดยแอร์ไลน์สามารถทำรีฟันด์ได้ ซึ่งอาจต้องจ่ายค่าธรรมเนียมตามกรณีส่วนชั้นประหยัดอีโคโนมีราคาพิเศษ แอร์ไลน์จะปฏิเสธการคืนเงินสถานเดียว” อีกทั้ง “ตั๋ว” ที่ซื้อผ่าน “ทัวร์เอเย่นต์” ราคากรุ๊ป อันนี้แน่นอน ...แอร์ไลน์ย่อมปัดความรับผิดชอบให้ผู้โดยสารไปขอคืนจากผู้ขายเองเรื่องวุ่นๆจึงเกิดขึ้นในวงจรธุรกิจนำเที่ยวแบบห่วงโซ่ “Tour Supply Chain” คือ “แอร์ไลน์” กับ “โฮลเซล (Wholesale)” ธุรกิจนำเที่ยวรายใหญ่ ระดับ “ยี่ปั๊ว” ผู้มีอำนาจจองที่นั่งบนเครื่องบินรวบยอดได้ตลอดปี เพราะเป็นลูกค้าวอลลุ่มใหญ่ผูกโยงไปถึงแลนด์โอเปอเรเตอร์ ผู้บริการในพื้นที่ตั้งแต่โรงแรมที่พัก ร้านอาหาร ร้านค้า รถนำเที่ยว ไกด์ ในและนอกประเทศโฮลเซลจะขายแบบ B2B ให้คู่ธุรกิจ “รีเทล (Retail)” หรือพ่อค้าปลีก “ซาปั๊ว–ซีปั๊ว” ทัวร์รายเล็กรายย่อยในห่วงโซ่ Supply Chain นำไปขายลูกค้าแบบ B2C คือ Business to Customers จ่ายเงินออกหลักฐานกันตรงนี้จากนั้นทัวร์รีเทลจะหอบเงินที่ขายได้ไปส่งยี่ปั๊วเป็นค่าเครื่องบิน ค่านำเที่ยวผ่านแลนด์ฯ นี่คือ...เส้นทางทำกินในกลุ่มคนทำทัวร์แต่ครั้น...รัฐสั่งยกเลิกเที่ยวบินช่วงวิกฤติโควิด-19 สถานการณ์ก็ยิ่งสุดว้าเหว่วิกฤติจึงเกิดซ้ำขึ้นมา...ด้วยแอร์ไลน์ปฏิเสธจ่ายคืนตั๋วกรุ๊ปผ่านซาปั๊วทัวร์รีเทล ที่ยืนกึ่งกลางระหว่างลูกทัวร์กับยี่ปั๊วโฮลเซลโหมดนี้ถ้ายี่ปั๊วมีคุณธรรมพร้อมคืนเงินซาปั๊วไปคืนลูกทัวร์ B2C ก็เป็นอันจบข่าว...แต่ถ้าบิดพลิ้วอ้างนำเงินไปจ่ายแอร์ไลน์กับแลนด์ฯแล้ว...ข่าวก็ต้องจบเช่นกัน! คือ...ทัวร์รีเทลตกสวรรค์มารับผิดชอบตาม พ.ร.บ.ธุรกิจนำเที่ยวฯ ซึ่งคุ้มครองผู้บริโภคและควบคุม บ.นำเที่ยว ผู้ออกหลักฐานการรับเงิน โดยแตะไม่ถึงมือโฮลเซลและแอร์ไลน์ทัวร์รีเทลถึงสุดกลั้นน้ำตานองกับปัญหานี้...ส่วนทางออกซึ่งมีอยู่ทางเดียว คือไปยื่นฟ้องคดีทางแพ่ง เรียกเงินคืนจากเถ้าแก่โฮลเซลหน้าโลหิตเอาเอง...ส่วนจะนานแค่ไหนก็รู้กันอยู่ซาปั๊วทัวร์รีเทลรายหนึ่งเล่าว่า...“การทำทัวร์พาคนไทยไปทัวร์นอก ถ้าเป็นยุโรป 4 วัน 3 คืน 4 หมื่นถึง 5 หมื่นบาท เกาหลี 1 หมื่น 5 พันถึง 2 หมื่น ญี่ปุ่น 3 หมื่นถึง 4 หมื่น หากทัวร์ 10 ถึง 30 คนประสบปัญหา ทัวร์รีเทลถึงแทบรมเตาถ่านปลิดชีพจากหนี้ที่ท่วมหัว”เคยเป็นข่าวบ่อยครั้ง...นักท่องเที่ยวถูกลอยแพสนามบินสุวรรณภูมิ หรือไปถูกทิ้งไว้ต่างประเทศ ก็ไม่ใช่ฝีมือใครอื่น...นอกจากโฮลเซลที่รับเงินแล้วเชิดหนี ปลายปีที่แล้วธุรกิจรายใหญ่ชื่อ “ฮ”ก็หนีไปพร้อมเงิน 70 ล้านบาท ต้องฟ้องร้องไม่ตะมุตะมิกันจนวันนี้“ธุรกิจโฮลเซล”...เติบโตแถบยุโรปเป็น Tour Supply Chain กับทัวร์ไทยมานาน ขณะไทยมีราว 20 แห่ง แบ่งสายเป็น ตลาดยุโรป จีน ญี่ปุ่น มาเลย์ สิงคโปร์ อเมริกามีบ้าง แต่วอลลุ่มเล็กนอกจากนี้...ยังกระจายอยู่ในเชียงใหม่ ภูเก็ต โดยฐานใหญ่อยู่กรุงเทพฯ โฮลเซลบางเจ้าขาย B2B ยังรวยไม่พอ จึงควบขาย B2C ไปด้วย...ทัวร์รีเทลทำได้ก็แค่มองตาปริบๆเหตุเพราะถูก “ปลาใหญ่ฮุบปลาเล็ก” เข้าให้แล้วประเทศไทยยามวิกฤติหนักหนาสาหัส “โควิด-19”...แพร่ระบาดหนัก สามัคคีคือพลัง จิตสำนึกดี ที่ทุกคนร่วมด้วยช่วยกันป้องกันอย่างเป็นระบบจะช่วยให้การแพร่ระบาดไม่กระจายตัวในวงกว้างกระนั้นแล้ว...ความยุติธรรมย่อมต้องมีกับทุกวงการและทุกขณะเวลา ไม่ใช่ในวันที่วิกฤติประเดประดังฝุ่นตลบ...มือใครยาว มีอำนาจ มีพวกพ้อง...จะสาวได้สาวเอาอย่างนี้ฝากทวงถามท่ามกลางมรสุมโควิด-19 หนักหน่วงเช่นนี้ “ซีรีส์พิลึก” ข้างต้นนี้ ปัญหาได้คลี่คลายลงแล้วหรือยัง.