แม้ว่าทุกวันนี้หลายประเทศจะมีความพยายามลดมลภาวะที่มาจากเชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์หรือเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้มาจากซากพืช ซากสัตว์ ที่ทับถมตามธรรมชาติ เมื่อผ่านกาลเวลายาวนานซากเหล่านี้ก็จะแปร สภาพกลายเป็นเชื้อเพลิงอย่าง น้ำมันดิบ ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ เป็นสาเหตุให้เกิดภาวะโลกร้อนอย่างรุนแรงการคืบคลานของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลนั้น ได้เริ่มส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมและชีวิตความเป็นอยู่ของประชากรโลกแล้วไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างน่าตระหนกก็เช่น ธารน้ำแข็งบนเทือกเขาก็มีการละลาย หรือน้ำแข็งบางส่วนในแอนตาร์กติกามีการเคลื่อนตัว ฯลฯอีกสิ่งหนึ่งที่นักวิจัยมุ่งให้ความสำคัญก็คือหาดทราย เนื่องจากพื้นที่ชายหาดเหล่านี้มีบทบาทเป็นด่านหน้าของแนวป้องกันพายุชายฝั่งและน้ำท่วม มีการคาดการณ์ว่าชายหาด 1 ใน 3 ของโลกอาจหายไปภายในปี พ.ศ.2643 หลังจากนักวิจัยแห่งศูนย์วิจัยร่วมของคณะกรรมาธิการยุโรป ได้ประเมินว่าชายหาดจะหายไปได้เร็วแค่ไหน ด้วยการศึกษาข้อมูลแสดงแนวโน้มผ่านภาพถ่ายดาวเทียมกว่า 3 ทศวรรษย้อนหลังไปถึงปี พ.ศ.2527 จากนั้นนักวิจัยก็ทำนายการพังทลายในอนาคตภายใต้สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยแบ่งออกเป็น 2 สถานการณ์สถานการณ์แรกนั้น อย่างเลวร้ายที่สุดก็คือ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับที่สูงที่เรียกว่า RCP 8.5 หมายถึงค่าพลังงานในบรรยากาศจะเพิ่มเป็น 8.5 วัตต์ต่อตารางเมตร ซึ่งโลกอาจจะสูญเสียชายหาดไป 49.5% หรือเกือบ 132,000 กิโลเมตรจากชายฝั่งในปี พ.ศ. 2643 ส่วนกรณีที่ 2 ก็คือ RCP4.5 เป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายน้อยกว่าแม้จะมีการคาดคะเนถึงจำนวนประเทศที่เสี่ยงต่อการสูญเสียชายหาดในอนาคตอีกหลายสิบปีข้างหน้า อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ด้านภูมิอากาศหลายคนก็มองว่าการประเมินเหล่านี้เป็นแบบอนุรักษนิยมมากเกินไป แต่ถึงอย่างนั้นเรื่องนี้ก็ถือเป็นหนึ่งในการส่งเสียงเตือนที่มนุษย์ต้องรับฟังและเตรียมตัวรับมือ.ภัค เศารยะ