การไหว้ไม้ซุงขนาดใหญ่มีกระถางธูปตั้งไหว้ขอขมากรรมเทพารักษ์ที่ตัดไม้มา นี่คือ “ไม้หลุมพอ” เป็นภาษาฮกเกี้ยน แปลว่า...“ไม้ค้ำชู” ไม้หลุมพอเป็นตระกูลไม้สักคือปลวกไม่กิน ราคาแพงมาก ยิ่งขนาดใหญ่ก็เกือบแสน “ศาลเจ้าทีกงตั๋ว” ที่ภูเก็ตต้องใช้ขนาดต่างๆเกือบ 200 ท่อนจิตรา ก่อนันทเกียรติ บินลงไปภูเก็ตเพื่อขอดูแปลนการสร้างศาลเจ้า และสเปกสองไม้คานใหญ่สุดนี้กำหนดเส้นผ่าศูนย์กลาง 30 ซม. ยาว 5 เมตร ซึ่งเป็นขนาดที่ทัดเทียมหรือใหญ่กว่าเสาหลักเมืองของรัชกาลที่ 1 เล็กน้อย แต่สะท้อนว่าของมงคลต้องขนาดถึงจึงจะใช้ได้ ในครั้งนี้ก็ได้ร่วมทำบุญคานไม้หลุมพอด้วยแล้วจับสังเกตชีวิตตัวเอง ก็...ได้โชคลาภ ให้ได้ไปงานใหญ่ที่คาดไม่ถึง ได้โอกาสในงานที่ดีที่ไม่คาดคิดส่วนการฝังเสาหลักเมืองโดยต้องมีวิญญาณผู้เสียสละเพื่อบ้านเมืองชื่อ นายอิน นายจัน นายมั่น นายคง กระทั่งเกิดมีปาฏิหาริย์มีงูเล็กเลื้อยลงหลุมทั้ง 4 ก็เป็นเรื่องแปลกที่งู 4 ตัวจะเหมือนมีอะไรดลใจให้มาเลื้อยลงไปเพื่อสถิตพลังคุ้มครองบ้านเมือง เพราะการเสียชีวิตแบบนี้วิญญาณจะไม่ไปไหนแต่อยู่คุ้มครองแผ่นดิน ซึ่งจากประสบการณ์ไหว้เจ้า คำว่า...บังเอิญให้เกิด มีอะไรดลใจให้เกิด ให้มี ให้ทำ จะมีให้เห็นเสมอด้วยความเป็นลูกจีนที่การเห็นความกตัญญูรู้คุณคนและแผ่นดินของคุณพ่อ การได้เห็นคุณพ่อมีความสุขมากที่ได้ใส่ชุดขาวขอเฝ้า เพื่อเข้าเฝ้าถวายเงิน ในหลวงรัชกาลที่ 9 จิตราจึงจำฝังใจว่า การเป็นลูกจีนที่ได้มาอาศัยแผ่นดินไทย ได้อยู่เย็นเป็นสุข ได้เรียนหนังสือ ได้ก้าวหน้า ต้องกตัญญูเสมอ เมื่อผลัดแผ่นดินเป็นรัชกาลที่ 10 จึงประพันธ์เพลงและทำเอ็มวีเพลงกตัญญูแผ่นดินไทย และเพลงแผ่นดินไทยในรัชกาลที่ 10 และเพลงหลังต้องเป็นศิลปินแห่งชาติ สันติ ลุนเผ่ ขับร้อง เพราะเสียงของท่านมีพลังถึง มีความตอนหนึ่งของเพลง ตั้งใจให้ความรู้ว่า“...แผ่นดินไทยมีความศักดิ์สิทธิ์ฤทธา มีใจเมืองเป็นศูนย์พลังแห่งความรุ่งเรือง มีพระหลักเมืองและสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองคุ้มครองปกปักรักษา แต่แผ่นดินก็ต้องมีพระผู้นั่งเมืองด้วยผู้มีบุญญาธิการมาผ่านพิภพ เป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ได้ผ่านการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครบพลังศักดิ์สิทธิ์ฤทธา...”และความรู้ตรงนี้จะเข้าใจคำว่า “สมมติเทพ” มากขึ้น หากได้เชื่อมโยงเห็นประสบการณ์ไหว้เจ้าที่ฮ่องกงที่จิตราได้มีโอกาสเห็นซ้ำๆๆๆ จากหลากหลายพิธี จนพบว่า...ในการไหว้เสริมดวงประจำปีของศาลเจ้าปีที่ต้องเดินเวียนธูปกับชาวบ้าน โดยจิตราถูกเชิญมาร่วมพิธีและถูกขอให้อยู่หัวขบวนพร้อมถือเครื่องสูงของเจ้าเมื่อประมาณหลายปีก่อนได้เห็นครอบครัวหนึ่งพาลูกที่เป็นเด็กผู้ชายดาวน์ซินโดรมมาเดินเข้าพิธี ดูออกจากสภาพหัวโตตาเล็กจมูกแบน ปีต่อมาก็เห็นเด็กคนนี้อยู่ท้ายขบวนอีก แล้วอีกปีหนึ่งก็อัศจรรย์มากที่เห็นเด็กคนนี้เดินอยู่บนฟุตปาทไม่ไกลศาลเจ้า ที่แปลกใจคือแม้หน้าตาเหมือนเดิมแต่สีหน้าแววตา เป็นคนปกติแล้วจนเริ่มสนใจเก็บข้อมูลของทีมนักพรต 13 ท่านที่มาสวดมากขึ้น เริ่มขอทานข้าวด้วยทีละสองท่านเพื่อสัมภาษณ์ขอความรู้ดีใจจริงๆ สะท้อนว่าการสวดของนักพรต 13 คนที่คนหนึ่งต้องเป็นมือเครื่องดนตรีมีพลังขลังที่ทำให้เด็กปัญญาอ่อนสองคนหายได้ แต่ก็ไม่คิดว่าเด็กไหว้แค่นี้ น่าจะเหมือนที่จิตราก็ถูกซินแสจับทำพิธีโน่น...นี่...นั่น และต้องให้ซินแสดูดวงแบบจีนที่เรียกว่า “โป้ยหยี่” จึงได้เห็นความผิดปกติของดวงว่า... เป็นคนมีอักษร “หยาง” เยอะ แต่แปลกที่มีเยอะแล้วยังเอา “หยาง” อีก ซึ่งความหมายหนึ่งของหยางคือพลังไหว้เจ้า พลังศาลเจ้า จึงกลายเป็นการที่ชอบไหว้เจ้า และศาลเจ้าก็ชอบให้เข้าพิธีคู่กับซินแส และอยู่ใน “ปริมณฑลพิธี” ได้คือ...ศาลเจ้าจะมีการกั้นเขตพิธีกรรมที่คนอื่นเข้าไม่ได้ แต่จิตรากับซินแสเข้าไปอยู่ได้ทำให้มีการได้สังเกตโน่น...นี่...นั่นมากขึ้น ในการสวดพิธีกรรมจะต้องมีนักพรตผู้ใหญ่ที่พลังถึงเป็นองค์ประธาน โดยนักพรตเหล่านี้มีกิจปฏิบัติที่ทุกเช้า ต้องนั่งทางใน โดยท่านั่งทางในของฝ่ายหญิงและชายจะมีความต่างกันอยู่บ้าง และท่านบอกว่านั่งทางในแบบเต๋า กับต้องกินเจก่อนเข้าพิธีเมื่อประมาณ 3 ปีก่อน จิตราเริ่มสังเกตเห็นนักพรตหัวหน้าพิธีต้องอยู่บนพรม เป็นพรมที่นักพรตด้วยกันก็เหยียบไม่ได้และในขณะพิธี เวลาที่นักพรตบริวารส่งของให้ต้องถอนสายบัว ไม่ใช่ยื่นส่งทื่อๆ และเริ่มสังเกตต่อว่าขณะหัวหน้าพิธีใส่ชุดสวดแบบใด จากการถามท่านนักพรตใหญ่ได้ความว่า...ถ้าเจ้าพิธีใส่ชุดนักพรตจะทำพิธีเป็นตัวแทนผู้มาทำบุญ แต่ถ้าใส่ชุดสวยงามเหมือนเป็นเจ้า นี่คือการต้องเชิญ “พลังเจ้า” มาเข้าทรงร่างเพื่อให้เป็น “ขุนนางของเจ้า” โดยซินแสในฐานะหัวหน้าศาลเจ้าเป็นผู้ปักธูปพิธีเท่านั้นไม่ใช่ใครจะปักก็ได้ เป็นธูปที่สีไม่ปกติ ที่ปลายธูป 3 ดอกหุ้มไว้ด้วยกระดาษเงินกระดาษทองจิตราเคยขอปักธูปพิธีแบบซินแสบ้าง ก็ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ก็ถามเหตุผลว่าทำไม“ท่านบอกว่าวันที่ปักธูปพิธีได้ต้องเป็นวันที่ผู้หญิงปักธูปได้ เพราะมีบางวัน เท่านั้นที่ผู้หญิงปักธูปพิธีกรรมไหว้พิเศษได้ส่วนผู้ชายที่เป็นชายแท้และเป็นประธานพิธีปักธูปได้ทุกวัน ผู้ชายที่มาช่วยงานศาลเจ้าแต่ไม่ใช่ประธานพิธีก็ไม่มีสิทธิปักธูปพิธีทำให้คิดเอาเองว่า...ทายาทประจำตระกูลของคนจีน จึงเป็นผู้ชายเท่านั้น”ย้อนกลับมาที่คำว่า “สมมติเทพของพระมหากษัตริย์ไทย” จากประสบการณ์ จิตรา บอกว่า คือการไหว้ของบางคนเหมือนไหว้ “โครง” ของศาลเจ้า แปลว่าไหว้อิฐหินดินทราย ศาลเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้เปิดพลังให้ ดังนั้น...ไม่ใช่ทุกคนที่ไหว้แล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะ “ให้พลัง” หรือเสริมพลังให้ไหว้แล้วได้หรือดีอย่างที่หวังเช่น การที่มีผู้ทำพิธีเสริมดวงที่วัดพระแก้วแบบจัดพิธีอลังการ แม้จะนั่งในตำแหน่งเดียวกับพระมหากษัตริย์ แต่หลังจากนั้นก็มีปัญหาใหญ่ร้าย ตรงนี้ทำให้เข้าใจว่า...การที่รัชกาลที่ 1 ทรงผูกพิธีกรรมและปริมณฑลพลังไว้ น่าจะ จำเพาะผู้มีบุญญาธิการที่เป็นพระมหากษัตริย์ไทยเชื้อสายราชวงศ์จักรีเท่านั้น“หรือ...เฉพาะสายพระโลหิตของราชวงศ์จักรี เช่น องค์มกุฎราชกุมารเท่านั้น...การจะทำอะไรเกี่ยวกับศาลพระหลักเมืองก็เช่นกัน เช่น ไม่ใช่อยู่ดีๆก็จะเอาเสาไปค้ำเพิ่มเพื่อเพิ่มพลังดวงให้ตัวเองและกิจการ เหมือนการที่มีเจ้าสัวเอาเสาหินอ่อนสไตล์โรมัน 12 ต้นไปทำพิธีค้ำในศาลพระหลักเมืองนครศรีธรรมราช”นอกจากนี้ คำว่า “ราชสวัสดิ์” ก็มีความสำคัญเพื่อให้ข้าราชบริพารปฏิบัติได้ถูกต้องกับการต้องถวายพระเกียรติต่อองค์พระมหากษัตริย์ เพื่อให้ทรงมีพลังเต็มที่ในขณะที่ทรงทำพระราชพิธี ที่ดั่งหนึ่งขณะนั้นทรงมีสถานะเป็น “องค์สมมติเทพ” เหมือนที่หัวหน้านักพรตขณะทำพิธีที่ใส่ชุดเจ้า ก็เป็นดั่ง “สมมติเจ้า”...ในระดับชั้นที่เป็นขุนนางมือขวาของเจ้า แต่สำหรับพระมหากษัตริย์คือเป็นสมมติเทพที่มีพลังบุญญาธิการจากพระสายโลหิตที่สืบจากรัชกาลที่ 1 ที่ทรงผูกพระราชพิธีเฉพาะไว้ และคำว่าบุญญาธิการนี้ก็เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า... ในบางเวลาที่พระมหากษัตริย์เสด็จพระราชดำเนินไปในบางที่ เช่นครั้งหนึ่งที่รัชกาลที่ 10 ทรงไปยกช่อฟ้าแล้วเกิดพระอาทิตย์ทรงกลดปรากฏการณ์พิเศษอย่างนี้ต่อให้สามัญชนอย่างเราทำพิธียกช่อฟ้าทุกวันก็ไม่มีทางจะมีวันที่พระอาทิตย์จะทรงกลด กระทั่งพระนามขณะเมื่อเป็นพระบรมโอรสาธิราช สยามกุฎราชกุมาร เป็นลำดับที่ 3 เมื่อทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดิน คือขึ้นเป็นลำดับที่ 1 หรือเป็น “พระผู้นั่งเมือง” ก็ต้องทรงเปลี่ยนพระนามซึ่ง “ญี่ปุ่น” เมื่อเปลี่ยน “องค์พระจักรพรรดิ” ก็ต้องเปลี่ยนพระนามและชื่อรัชสมัยเช่นกันพร้อมแต่งตั้งสมเด็จพระราชินีเพื่อให้ครบถ้วนพลังหยินหยางสำหรับบ้านเมือง ขณะทรงปฏิบัติพระราชพิธี ทรงอยู่ท่ามกลางอำมาตย์ข้าราชบริพารทั้งฝ่ายใน ฝ่ายหน้า เสนาบดีทั้งคณะรัฐบาล ฝ่ายรัฐสภา ฝ่ายตุลาการ ฝ่ายสงฆ์ เป็นพระราชพิธีที่มีระเบียบแบบแผน จัดเครื่องทุกอย่างถูกต้องงดงาม ทุกคนมีวินัยสมาธิที่สงบ ไม่ใช่แย่งกันจุดธูปเทียน แย่งกันปักธูปเทียนควันโขมงโฉงเฉงแบบที่ชาวบ้านทำกันที่วัดและศาลเจ้าเพื่อให้ “พระมหากษัตริย์” ณ ขณะทำพระราชพิธีทรงเป็นดั่งหนึ่ง “องค์สมมติเทพ” ที่มีพลังสมบูรณ์ ในปริมณฑลพิธีที่มีพลัง ทรงปฏิบัติพระราชพิธีให้ได้เกิดพลังสิริมงคลคุ้มครองแผ่นดินไทยให้บังเกิดความผาสุกร่มเย็นต่อ “ประชาราษฎร์” ที่เป็นคนดีมีศีลธรรมและกตัญญูรู้คุณแผ่นดินไทย.อ่านข่าวเพิ่มเติม- สกู๊ปหน้า 1 : ไขปริศนาสมมติเทพ ดวงฮ่องเต้โอรสสวรรค์