(ภาพ) ภาพวาดชาวสุเมเรียนระหว่างงานพิธีเฉลิมฉลองที่มหาซิกกูแรต.เมโสโปเตเมีย ดินแดนระหว่างแม่น้ำสองสาย ไทกริสและยูเฟรตีส คือหนึ่งในอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดของโลกโบราณที่รุ่งเรืองอยู่ในประเทศอิรัก ในอดีต มนุษยชาติรู้จักอารยธรรมนี้ผ่านทางพระคัมภีร์ไบเบิลบทปฐมกาล (Genesis) ที่กล่าวว่า “เมืองอูร์ของชาวเคลเดีย” (Ur of the Chaldees) คือบ้านเกิดของอับราฮัม ทว่าในตอนนั้นยังไม่มีใครทราบตำแหน่งที่แน่นอนของ “เมืองอูร์ของชาวเคลเดีย” ที่ว่านี้มาก่อนเลยครับหนึ่งในนักโบราณคดีคนสำคัญที่ขุดค้นอารยธรรมเมโสโปเตเมียก็คือ เซอร์ ลีโอนาร์ด วูลเลย์ (Sir Leonard Woolley) ซึ่งนอกจากเขาจะค้นพบนคร “อูร์” (Ur) ที่อาจจะเป็น “เมืองอูร์ของชาวเคลเดีย” แล้ว เขายังค้นพบ “สุสาน” ขนาดใหญ่ที่อัดแน่นไปด้วยทรัพย์สมบัติโดยเฉพาะทองคำเหลืองอร่าม แถมยังแฝงเอาไว้ด้วยความเชื่อทางด้าน “การบูชายัญ” อันโหดร้ายอีกด้วยครับ!!เรื่องราวจะเป็นอย่างไร คอลัมน์ไทยรัฐซันเดย์ สเปเชียล โดยทีมงานนิตยสารต่วย’ตูน นำมาเสนอต่อแฟนานุแฟนแล้วครับ มหาซิกกูแรตแห่งอูร์.การขุดค้นทางโบราณคดีของวูลเลย์เริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ.1922 ตำแหน่งที่วูลเลย์เลือกเป็นแหล่งขุดค้นทางโบราณคดีคือเนินที่เรียกว่า เทลเอล-มุคเคย์ยาร์ (Tell el-Muqayyar) ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับมหาซิกกูแรตแห่งอูร์ (Great Ziggurat of Ur) ที่สร้างโดยกษัตริย์ อูร์-นัมมู (Ur-Nammu) เพื่ออุทิศแด่จันทรเทพของชาวสุเมเรียนที่มีชื่อว่า นันนา (Nanna) เมื่อเลือกสถานที่ได้แล้ววูลเลย์ก็จัดแจงจ้างคนงานราว 300 ชีวิตเพื่อเริ่มงานขุดค้นบริเวณเนินเทล เอล-มุคเคย์ยาร์ ฤดูกาลขุดค้นในช่วงนั้นจะอยู่ระหว่างเดือนตุลาคมจนถึงเดือนมีนาคมซึ่งเป็นฤดูหนาวสลับฝน วูลเลย์ออกเงินลงทุนเพิ่มเติมในการสร้างอาคารจากอิฐดินเผาเพื่อใช้เป็นบ้านสำหรับพักอาศัยที่มีทั้งห้องนอน ห้องน้ำ รวมถึงใช้เป็นห้องทำงานด้วยเช่นกันตั้งแต่วันแรกของการขุดค้น วูลเลย์ก็ได้พบเข้ากับสิ่งที่เขาตามหา นั่นก็คือหลักฐานของร่องลึกขนาดใหญ่ที่พาดผ่านหลุมที่ในปัจจุบันทราบกันดีแล้วว่าเป็นสุสานหลวง แต่วูลเลย์ทราบดีว่าทีมงานของเขายังไม่พร้อมที่จะขุดค้นร่องลึกที่เพิ่งค้นพบในเวลานี้ เพราะงานขุดค้นทางโบราณคดีก็ไม่ต่างจากการ “ทำลาย” หลักฐานที่ปรากฏบนชั้นดินต่างๆออกไปอย่างไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้ วูลเลย์จึงขุดค้นพื้นที่ในบริเวณใกล้เคียงไปพลางๆก่อน และแล้วในปี ค.ศ.1927 ทีมงานของวูลเลย์ก็พร้อมที่จะขุดค้นร่องลึกที่พวกเขาจงใจละทิ้งเอาไว้เมื่อ 5 ปีก่อน วูลเลย์กำลังเคลื่อนย้ายโบราณวัตถุ.สิ่งที่ทีมขุดค้นของวูลเลย์ได้เปิดเผยออกมาต่อสาธารณชนนั้นถือได้ว่าเป็นหนึ่งในการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกโบราณคดีเมโสโปเตเมียเลยก็ว่าได้ เพราะสิ่งที่วูลเลย์ค้นพบในเทล เอล-มุคเคย์ยาร์ คือ “สุสาน” ที่มีจำนวนมหาศาลกว่า 2,000 แห่ง บางแห่งเป็นเพียงแค่สุสานขนาดเล็ก แต่ก็มีอีกไม่น้อยที่เป็นสุสานขนาดใหญ่ อีกทั้งยังอัดแน่นไปด้วยขุมสมบัติโดยเฉพาะทองคำมากมายหลายชิ้น นอกจาก “มูลค่า” ของสิ่งที่วูลเลย์ค้นพบแล้ว สุสานเหล่านี้ยังได้มอบ “คุณค่า” ทางโบราณคดีอย่างมหาศาล เพราะมันได้ช่วยให้นักโบราณคดีได้เข้าใจถึงรูปแบบประเพณีการฝังศพและความเชื่อของชาวเมโสโปเตเมียที่มีความเกี่ยวข้องกับความตาย ซึ่งหนึ่งในประเพณีที่ว่านั้นก็ชวนให้สยดสยองไม่น้อยเลยล่ะครับ เพราะหลักฐานที่วูลเลย์ค้นพบบ่งบอกเป็นนัยว่าชนชั้นสูงหรืออาจจะเป็นกษัตริย์และราชินีของชาวสุเมเรียนนั้นไม่ได้ถูกฝังอยู่อย่างโดดเดี่ยว ทว่าพวกเขามักจะฝังข้าราชบริพารไปกับตนเองด้วย และที่น่าขนลุกที่สุดก็คือข้าราชบริพารเหล่านั้นอาจถูก “บังคับ” ให้ตายตามเจ้านายของพวกเขาด้วยน่ะสิครับ!!และเมื่อพิจารณาสุสานที่ทั้งน่าทึ่งและน่าสยดสยองนี้ประกอบกับตำนานที่ชาวเมโสโปเตเมียบันทึกเอาไว้บนแผ่นดินเหนียวที่จดจารด้วยอักษรลิ่มก็ได้ช่วยให้นักโบราณคดีเข้าใจว่าสำหรับชาวเมโสโปเตเมียแล้ว พวกเขาเชื่อว่าโลกมีลักษณะเป็นวงกลมที่ครึ่งหนึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์และอีกครึ่งหนึ่งเป็นที่พำนักของผู้วายชนม์ เทพเจ้าของพวกเขาจะทำหน้าที่ปกครองดินแดนทั้งสอง โดยมีเทพีอีเรชคิกัล (Ereshkigal) เป็นราชินีแห่งโลกหลังความตาย ดูแลร่วมกับเทพเจ้าเนอร์กัล (Nergal) ผู้เป็นสวามีของนาง ชาวเมโสโปเตเมียเชื่อว่าสุสานคือทางเข้าไปสู่ปรโลก แต่ปรโลกของพวกเขานั้นมีแต่ความหดหู่สิ้นหวัง อีกทั้งยังเป็นดินแดนที่มีเพียงแค่ “ฝุ่น” ดำมืดทั่วทุกสารทิศ มหาซิกกูแรตแห่งอูร์.และ “ฝุ่น” นี่เองครับคือ “อาหาร” ของดวงวิญญาณในปรโลกตามความเชื่อของชาวเมโสโปเตเมีย ดังนั้น ถ้าญาติของผู้วายชนม์ไม่ต้องการให้ดวงวิญญาณของผู้ล่วงลับต้องอดอยาก พวกเขาก็จะต้องนำเอาอาหาร เครื่องบรรณาการและเครื่องบำรุงเลี้ยงต่างๆมามอบให้กับเจ้าของสุสานอยู่เสมอ นอกจากนั้น ถ้าอ้างอิงจากตำนานการเดินทางหลังความตายของชาวสุเมเรียนที่ชื่อว่า “มรณกรรมของอูร์-นัมมู” ที่บอกเล่าถึงการเดินทางของกษัตริย์อูร์-นัมมู ไปยังปรโลกแล้วก็จะพบว่าพระองค์ได้ตระเตรียมเครื่องบรรณาการเพื่อนำไปถวายแด่เทพเจ้าที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูในโลกหลังความตาย อีกทั้งยังเตรียมอาหารเอาไว้จัดงานเลี้ยงในปรโลกด้วยเช่นกัน เพราะอาหารในปรโลกนั้นมีรสขม แถมน้ำในโลกหลังความตายยังมีรสกร่อย ดื่มอย่างไรก็ไม่มีทางสดชื่นนั่นจึงไม่แปลกเลยครับที่สุสานของเชื้อพระวงศ์และชนชั้นสูงชาวสุเมเรียนที่วูลเลย์ค้นพบจากเมืองอูร์จะอุดมไปด้วยข้าวของเครื่องใช้และเครื่องบรรณาการสูงค่ามากมาย เพื่อให้ผู้วายชนม์นำไปถวายแด่เทพเจ้าแห่งปรโลก เพื่อที่ดวงวิญญาณของพวกเขาจะได้รับการบำรุงเลี้ยงและใช้ชีวิตหลังความตายในปรโลกอย่างมีความสุขนั่นเองล่ะครับแต่ในบรรดาสุสานกว่า 2,000 แห่งที่วูลเลย์ค้นพบนั้นมีสุสานที่น่าสนใจอยู่เพียงแค่ 16 แห่งเท่านั้นครับ ก็คือบรรดาสุสานที่วูลเลย์ตั้งชื่อให้ว่า “สุสานหลวง” ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าวูลเลย์ทราบชัดเจนแน่นอนว่าสุสานทั้ง 16 แห่งนี้คือที่พำนักหลังความตายของเหล่ากษัตริย์และราชินีของชาวสุเมเรียนแห่งเมืองอูร์หรอกครับ สาเหตุที่วูลเลย์เรียกขานสุสานเหล่านี้ว่า “สุสานหลวง” มาจากบรรดาทรัพย์สมบัติและข้าวของเครื่องใช้ต่างๆที่ฝังอยู่ในสุสานนั้นดูสูงค่ากว่าสุสานแห่งอื่นๆ ด้วยว่าข้าวของหลากหลายชิ้นทำมาจากทองคำ และในปัจจุบันโบราณวัตถุอันทรงคุณค่าเหล่านี้ก็ถูกนำไปจัดแสดงเอาไว้ในพิพิธภัณฑ์อังกฤษเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับคำถามที่นักโบราณคดีให้ความสนใจก็คือเจ้าสุสานหลวงที่ว่านี้มีความเก่าแก่ย้อนกลับไปได้นานแค่ไหนกันล่ะ? ถึงแม้นักโบราณคดีจะทราบว่าซิกกูแรตแห่งอูร์ที่รังสรรค์โดยกษัตริย์อูร์-นัมมู นั้นมีอายุย้อนกลับไปได้ราว 4,000 ปีก่อน แต่พวกเขาก็ไม่อาจฟันธงได้หรอกครับว่าสุสานเหล่านี้จะสร้างขึ้นมาพร้อมกับซิกกูแรตด้วยหรือไม่ เว้นเสียแต่ว่าพวกเขาจะพบชื่อของใครสักคนที่พอจะช่วยระบุอายุของสุสานเหล่านี้ได้ โชคดีที่หนึ่งในสุสานที่โด่งดังที่สุดของกลุ่มสุสานหลวงได้ปรากฏหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึง “เจ้าของ” สุสานเอาไว้ด้วยเช่นกันครับ สุสานที่ว่านั้นได้รับรหัสว่า PG800 เป็นสุสานของ “ราชินี” ที่วูลเลย์ อ่านพระนามว่า “ชูบ-อัด” (Shub-ad) ทว่าทุกวันนี้นักโบราณคดีเสนอว่าพระนามที่ถูกต้องของนางควรจะอ่านว่า “ปู-อาบี” (Pu-abi) เสียมากกว่าสิ่งที่ทำให้วูลเลย์ทราบพระนาม (ที่ถึงแม้ว่าเขาจะอ่านได้ไม่ถูกต้อง) ของราชินีองค์นี้ก็คือ “ตราประทับ” ทรงกระบอกทำจากหินลาพิส ลาซูลี (Lapis Lazuli) ที่ปรากฏอยู่ข้างตัวของราชินีในสุสานนั่นเองครับ ความโดดเด่นของสุสาน PG800 ของปู-อาบี นอกจากจะบอกเล่าประวัติฉบับย่อขององค์ราชินีแล้ว บรรดาทรัพย์สมบัติที่ฝังไปกับนางก็ถือได้ว่าน่าทึ่งไม่แพ้กันครับ วูลเลย์ค้นพบโบราณวัตถุและทองคำหลากหลายชิ้นในสุสานของปู-อาบี มีทั้งเครื่อง ประดับศีรษะ ถ้วยใส่เครื่องดื่มทำจากทองคำ และที่น่าทึ่งที่สุดก็คือ “พิณ” (Lyre) โบราณที่ตกแต่งเป็นรูปศีรษะวัวทำจากทองคำประดับด้วยหินลาพิส ลาซูลี สีน้ำเงิน นอกจากนั้น กล่องเสียง (Sound Box) ของพิณชิ้นนี้ยังประดับไปด้วยหินคาร์เนเลียนและไข่มุก รวมถึงทองคำตกแต่งเป็นภาพต่างๆดูแปลกตา ทั้งภาพของนกอินทรีที่มีศีรษะเป็นสิงโต ภาพของมนุษย์ วัวและภาพสิงโตกำลังจู่โจมวัว ล้วนแล้วแต่เป็นภาพที่แสดงถึงความสามารถทางด้านศิลปะของชาวสุเมเรียนในยุคแรกเริ่มได้เป็นอย่างดี พิณจากสุสานของราชินีปู-อาบี หลังได้รับการบูรณะ.แต่ถึงอย่างนั้นสุสานของปู-อาบี ก็ไม่ได้มีความโดดเด่นเพียงแค่ในด้านของทรัพย์สมบัติสุดอลังการหรอกครับ เพราะเมื่อมี “ด้านสว่าง” แล้วก็ต้องมี “ด้านมืด” ด้วยเช่นกัน สุสานของราชินีปู-อาบี ประกอบไปด้วยห้องสองห้องหลักๆ ห้องแรกเป็นห้องฝังศพที่ร่างของราชินีปู-อาบี นอนอยู่อย่างสงบบนโครงโลงศพ (Bier) โดยมี “โครงกระดูก” อีก 5 ร่างนอนอยู่ในห้องนี้กับนางด้วย ติดกับห้องฝังศพนี้คือพื้นที่ที่เรียกขานกันว่า “หลุมมรณะ” (Death Pit) ด้วยว่าเป็นห้องกว้างที่วูลเลย์ค้นพบ “โครงกระดูก” เพิ่มอีก 10 ร่าง สุสานของชาวสุเมเรียนส่วนใหญ่มักจะมีพื้นที่ที่ทำหน้าที่เป็น “หลุมมรณะ” เช่นนี้อยู่ด้วยเสมอครับ และหน้าที่หลักของห้องนี้ก็เพื่อใช้ในการฝังศพเหล่าข้าราชบริพารที่อาจจะถูก “บังคับ” ให้ตายตามเจ้านายไปยังปรโลกนั่นเอง ถ้าย้อนกลับมาดูสุสานของราชินีปู-อาบี กันอีกครั้งก็จะพบว่านางได้พาข้าราชบริพารให้สิ้นชีพตามนางไปด้วยทั้งสิ้น 15 ชีวิต ทุกคนเป็นสตรีที่ได้รับการตกแต่งด้วยเครื่องประดับทำจากหินและทองคำอย่างงดงาม เตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางไปรับใช้ราชินีแห่งสุเมเรียนเป็นครั้งสุดท้ายในโลกหลังความตาย เครื่องประดับศีรษะทองคำของราชินีปู-อาบี.มีการเสนอกันว่าสุสานของปู-อาบี นี้น่าจะมีอายุได้ราว 4,600 ปีมาแล้ว เรียกได้ว่าอยู่ในยุคเดียวกับช่วงของการสร้างมหาพีระมิดแห่งกิซ่า (Great Pyramid of Giza) โดยฟาโรห์คูฟู (Khufu) แห่งอียิปต์โบราณเลยทีเดียววูลเลย์ยังค้นพบอีกหนึ่งสุสานที่มีดีกรีความโหดไม่แพ้กัน แถมยังเป็นสุสานที่ได้รับการเรียกขานว่า “หลุมมรณะขนาดยักษ์” (Great Death Pit) อีกด้วย นั่นก็เป็นเพราะว่าวูลเลย์ค้นพบโครงกระดูกในสุสานแห่งนี้ถึง 74 ร่างเลยทีเดียวครับ!! ศพทั้ง 74 ร่างในสุสาน PG1237.สุสานแห่งนี้ได้รับการเรียกขานด้วยรหัส PG1237 เป็นหลุมขนาดใหญ่เพียงหลุมเดียวที่มีโครงกระดูกนอนเรียงรายอยู่ทั้งหมด 74 ร่างเป็นบุรุษ 6 ร่าง และสตรีอีก 68 ร่าง ความน่าสนใจของสุสานแห่งนี้อยู่ที่โครงกระดูกทั้งหมดจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย แถมยังมีแบบแผนที่ชัดเจนอีกด้วยครับ ศพของบุรุษที่ค้นพบในสุสานแห่งนี้ถูกจัดวางเอาไว้ใกล้กับทางเข้าสุสาน ทุกคนล้วนมีอาวุธครบมือ ส่วนที่เหลือเป็นสตรีที่นอนเรียงรายแบ่งเป็นสี่แถว เกือบทุกคนสวมใส่เครื่อง ประดับล้ำค่าทำจากโลหะเงิน ทองคำและหินลาพิส ลาซูลี แต่มีสตรีอยู่ร่างหนึ่งจากบรรดาสตรีทั้ง 68 ร่างที่ดูเหมือนว่าจะได้รับการตกแต่งด้วยเครื่องประดับที่เลิศหรูมากกว่าสตรีคนอื่นๆ นักโบราณคดีเรียกสตรีผู้นี้ว่า “ร่างที่ 61” (Body 61) นางมีถ้วยเครื่องดื่มทำจากโลหะเงินวางอยู่ใกล้ริมฝีปาก นอกจากนั้น วูลเลย์ยังพบว่าสตรีราวครึ่งหนึ่งของสตรีทั้งหมดมีถ้วยหรือเหยือกวางอยู่ใกล้ๆด้วย จึงมีการเสนอกันว่าบางทีนี่อาจจะเป็น “งานเลี้ยง” ครั้งสุดท้ายของเหล่าข้าราชบริพารที่ถูกเลือกมาให้รับใช้ “ร่างที่ 61” เป็นครั้งสุดท้าย โครงกระดูกในสุสานหลวง ตกแต่งด้วยเครื่องประดับล้ำค่า.และด้วยว่าศพทั้งหมดนอนเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ นักโบราณคดีจึงเสนอกันว่าบางทีทั้งบุรุษและสตรีทั้ง 73 ชีวิตที่ถูกเลือกมานี้อาจจะเต็มใจ ที่จะสละชีวิตของตนเองเพื่อไปรับใช้ “ร่างที่ 61” ซึ่งเป็นเจ้านายของพวกเขาในโลกหน้า บางทีถ้วยและเหยือกที่พบใกล้เคียงกับศพเหล่านี้อาจจะเคยใส่ยาพิษหรือสารเสพติดที่มีฤทธิ์ทำให้ง่วงซึมเอาไว้ และนั่นหมายความว่า ไม่ว่าศพทั้ง 73 ร่างจะยินดีมอบลมหายใจสุดท้ายเอาไว้ในสุสาน PG1237 แห่งนี้หรือไม่ พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นใดอีกแล้วนอกจากดื่มยาลึกลับในถ้วยที่พวกเขาถือเข้ามาให้หมดเกลี้ยง ปลดปล่อยร่างกายและจิตวิญญาณสุดท้ายเข้าสู่ภวังค์ แล้วหลับใหลไปตลอดกาล...ทีมงานนิตยสารต่วย'ตูน โดย : นนทพัทธ์