ปัญหานักโทษเรือนจำเมื่อพ้นโทษออกมาแล้ว ทำไมถึงไปกระทำความผิดซ้ำอีก เป็นคำถามที่รัฐบาลเองพยายามหาทางแก้ไขปัญหานี้มาต่อเนื่อง แต่ไม่มีใครแก้ไขได้ ความผิดอยู่ที่ตัวนักโทษที่กระทำผิดซ้ำซากหรือสังคมเองที่ยังไม่พร้อมให้อภัยผู้ที่พ้นโทษกลับไปใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนอื่นหนีไม่พ้นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกฝ่าย จะโทษผู้ที่พ้นโทษออกมาแล้วทำผิดอีกฝ่ายเดียวไม่ได้ เมื่อออกมาแล้วไม่มีนายจ้างรับทำงาน ไม่มีใครอยากจ้างทำงาน ดูถูกเหยียดหยาม ทำให้นักโทษต้องกลับไปสู่ “วังวนเดิม” ออกไปเจอแต่ปัญหา เจอแต่ความเครียด สุดท้ายหนีไม่พ้นการกลับไปกระทำผิด ซ้ำขึ้นมาอีกเพื่อความอยู่รอดบางรายต้องกลับไปเสพยาเสพติด ค้ายาหรือลักขโมย เพื่อให้ได้เงินมา หรือที่เป็นข่าวบางรายต้องการทำผิดเพื่อที่จะได้เข้าไปอยู่ในเรือนจำ อย่างน้อยได้รับการดูแลดีกว่าอยู่ในสังคมที่ถูกตราหน้าว่า “โจร” ไม่มีใครรับทำงานไม่มีใครคบค้าสมาคม และเป็นภาระของคนที่อยู่ในครอบครัว ปัญหาเหล่านี้กลายเป็นปัญหาของสังคมไทย คดีอาชญากรรมเพิ่มสูงขึ้น สุดท้ายนักโทษล้นคุก ทำให้รัฐบาลต้องเสียงบประมาณปีละหลายล้านบาทเพื่อที่จะดูแลนักโทษหน้าเดิมที่กลับเข้ามาสู่เรือนจำปัญหาของนายจ้างอย่างหนึ่งที่ควรจะได้รับการแก้ไข สมควรหรือไม่ที่นายจ้าง บริษัท ห้างร้าน ผู้ประกอบการต่างๆ ที่เห็นใจรับผู้ที่พ้นโทษจากเรือนจำออกมาทำงาน จะได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีจากรัฐบาล เพื่อเป็นแรงจูงใจให้นายจ้างหันมารับผู้ที่พ้นโทษเข้าทำงานให้กลับมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมในสังคมไทยได้อีกครั้งกรมราชทัณฑ์ ภายใต้การขับเคลื่อนของ พ.ต.อ.ดร.ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เห็นปัญหานี้มาโดยตลอด พยายามคิดแก้ไขปัญหา เริ่มตั้งแต่การวางระบบเรือนจำให้มีคุณภาพ สร้างอาชีพให้นักโทษ สร้างคุณธรรมจริยธรรม ปลูกฝังการดำรงชีวิตในสังคม ทำให้นักโทษมีคุณภาพ คาดหวังส่งคนดีคืนสู่สังคมแต่พบว่าติดขัดปัญหาเรื่องการจ้างงานของกลุ่มผู้ประกอบการพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ทราบเรื่องมอบให้ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม ลงพื้นที่หาแนวทางการแก้ไข ในปัจจุบัน กรมราชทัณฑ์มีอำนาจหน้าที่ในการดูแลผู้ต้องราชทัณฑ์กว่า 360,000 คน ในเรือนจำและทัณฑสถาน 143 แห่งทั่วประเทศเรือนจำกำลังประสบกับปัญหาใหญ่ 3 ประการ คือ 1.ปัญหาคนล้นคุก อันเนื่องจากกระบวนการยุติธรรมของไทยได้ถูกออกแบบมาให้มีโทษทางอาญาถึงขั้นจำคุกมากเกินไป โดยเฉพาะคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษบางประเภท ความจุของเรือนจำรองรับผู้ต้องขังได้ 112,348 รายของเรือนจำทั่วประเทศ 143 แห่ง ปัจจุบันจำนวนนักโทษเกินความจุของเรือนจำมากกว่า 2 เท่า2.ปัญหาในการแก้ไขฟื้นฟูและปรับปรุงพฤตินิสัยของผู้ต้องขังได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ พ.ต.อ.ดร.ณรัชต์ได้แก้ไขปัญหาเห็นผลเป็นรูปธรรมชัดเจน จากนโยบาย “3 ส. 7 ก.” 3 ส. ได้แก่ 1.สะอาด เรือนจำต้องสะอาดเรียบร้อยอยู่เสมอ พร้อมให้บริการประชาชน ปราศจากยาเสพติด โทรศัพท์มือถือ สิ่งของต้องห้ามในเรือนจำและเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์มีจิตใจที่สะอาด 2.สุจริต ไม่เรียกรับผลประโยชน์ ไม่มีซื้อขายตำแหน่ง ไม่ทำธุรกิจการจัดซื้อจัดจ้างขายของกับหน่วยงาน ไม่เบียดเบียนผู้ใต้บังคับบัญชา และ 3.เสมอภาค ขอให้ปฏิบัติกับผู้ต้องขังทุกคนอย่างเท่าเทียมและเสมอภาค7 ก. ได้แก่ 1.กักขัง ควบคุมผู้กระทำผิดตามกฎหมายมิให้หลบหนี 2.แก้ไข กรมราชทัณฑ์จะจัดระเบียบเรือนจำ และสร้างการยอมรับของสังคม เมื่อผู้ต้องขังพ้นโทษ 3.กฎหมาย ยึดหลักกฎหมาย และควบคุมให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล 4.การวางกรอบ แก้ไขปัญหาโดยจำกัดพื้นที่สีเทาให้น้อยที่สุด 5.กลั่นกรอง วิเคราะห์และจัดวางระบบการจำแนก การจัดชั้น การพักการลงโทษ และลดวันต้องโทษของผู้ต้องขัง เพื่อประเมินความเสี่ยงที่ไม่กลับไปกระทำผิดซ้ำหรือสร้างความเดือดร้อนของสังคม 6.กำลังใจ ใช้หลักเมตตาธรรม สิทธิประโยชน์ผู้ต้องขัง ดูแลด้วยความเป็นธรรม 7.กลับตัว ผู้ต้องขังที่ได้รับการแก้ไขและพัฒนาพฤตินิสัย สามารถกลับตนเป็นคนดีอยู่ร่วมกับสังคมได้อย่างเป็นสุข โดยไม่ทำผิดซ้ำซาก3.ปัญหาการกระทำผิดซ้ำเมื่อพ้นโทษ ในส่วนของการกระทำผิดซ้ำนั้น จากการศึกษาวิจัยทราบว่าปัจจัยหลักที่สำคัญประการหนึ่งคือ การไม่มีงานทำ หรือขาดอาชีพ จึงทำให้ขาดรายได้ และหวนกลับไปกระทำผิดซ้ำ คือการก่ออาชญากรรมหรือทำผิดกฎหมายเหมือนเดิมปัญหาข้อที่ 3 เป็นเรื่องใหญ่ที่ พ.ต.อ.ดร.ณรัชต์ พยายามแก้ไขผลักดันให้คนพ้นโทษมีอาชีพ มีศักยภาพ มีการให้เลือกอาชีพ ฝึกฝนตั้งแต่ใน เรือนจำ เพื่อออกมาได้มีอาชีพมีรายได้พอหาเลี้ยงตัวเองกรมราชทัณฑ์จัด “โครงการจ่ายนักโทษเด็ดขาดออกทำงานใน สถานประกอบการนอกเรือนจำ” ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2559 ได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชน และภาคอุตสาหกรรมเป็นอย่างมาก มีผู้ประกอบการร่วมโครงการ 85 ราย เช่น บริษัท เกรทวอลล (1988) จำกัด บริษัท เชิดชัย คอร์ปอเรชั่น จำกัด บริษัท พานทอง อัลไลแอนซ์ จำกัด ผู้ต้องขังที่ยังต้องโทษอยู่ออกไปรับจ้างเข้าทำงานแล้ว 1,355 คน จากเรือนจำ 50 แห่งพ.ต.อ.ดร.ณรัชต์มีแนวคิดที่จะเสนอสิทธิประโยชน์แก่นายจ้างหรือผู้ประกอบการให้ได้รับการลดหย่อนหรือยกเว้นภาษีอากร เมื่อรับผู้พ้นโทษเข้าทำงาน เข้าหารือกับ กระทรวงการคลัง และ กรมสรรพากร เพื่อขอรับการสนับสนุนแนวทางสิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ผู้ประกอบการที่รับผู้พ้นโทษเข้าทำงาน ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการพิจารณาหาแนวทางในการกำหนดมาตรการดังกล่าว โดยจะมีการร่างแผนพระราชกฤษฎีกาพ.ต.อ.ดร.ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวกับ “ทีมข่าวอาชญากรรม” ว่า “กรมราชทัณฑ์เป็นหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมที่มุ่งมั่นแก้ไขและพัฒนาพฤตินิสัยของผู้ต้องขัง เพื่อคืนคนดี มีคุณค่าสู่สังคม มุ่งเน้นส่งเสริมให้ผู้ต้องขังได้มีอาชีพสามารถดำรงชีวิตในสังคมได้อย่างปกติสุข โดยไม่หวนกลับไปกระทำผิดซ้ำอีกและคาดหวังว่าสังคมภายนอกจะให้โอกาสกับผู้พ้นโทษเช่นกัน แต่ปัจจุบันพบว่าคนพ้นโทษยังไม่ได้รับการยอมรับ แม้จะมีการพัฒนาศักยภาพคนพ้นโทษให้มีวิชาชีพที่ดีแล้ว จึงได้เสนอแนวทางสิทธิประโยชน์แก่นายจ้าง หรือผู้ประกอบการให้ได้รับการลดหย่อนหรือยกเว้นภาษีอากรเมื่อรับผู้พ้นโทษเข้าทำงาน ซึ่งนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม เห็นชอบด้วยได้มอบนโยบายให้กรมราชทัณฑ์หาทางกำหนดมาตรการภาษีเพื่อให้สิทธิประโยชน์แก่นายจ้างและเจ้าของผู้ประกอบการร่วมกับกรมสรรพากร และกระทรวงการคลัง ในการผลักดันเพื่อให้เกิดแรงจูงใจในการจ้างงานผู้พ้นโทษและเป็นการส่งเสริมคนดีสู่สังคมต่อไป”ถือเป็นแนวทางที่ดีของกรมราชทัณฑ์ยุคนี้ วางแผนแก้ไขปัญหานักโทษทั้งระบบ ตั้งแต่การดูแลความเป็นอยู่ของนักโทษ การฝึกสอนวิชาชีพให้นักโทษ การหานายจ้างรับบุคคลพ้นโทษเข้าทำงาน และ “การลดหย่อนภาษีผู้ประกอบการที่จ้างแรงงานพ้นโทษ”เพื่อให้คนพ้นโทษมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี ไม่กลับไปทำผิดซ้ำอีก.ทีมข่าวอาชญากรรม