สัญญาณเตือน “ปลาทู อ่าวไทย” เข้าสู่วิกฤติที่มีตัวเลขการจับลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ในเรื่องนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2539 ปัญหามาจาก “เปิดช่องกฎหมาย” ในการทำประมง “เรือปั่นไฟ” ที่มีใช้ทั้งประมงพาณิชย์ และประมงพื้นบ้าน มีผลต่อระบบนิเวศในท้องทะเลรุนแรงเพราะวิธีนี้มีจุดประสงค์จับปลากะตักในเวลากลางคืน โดยใช้แสงไฟล่อให้ปลาเข้ามาหาจำนวนมากแล้วนำลงอวนจับปลาทั้งหมด แต่สิ่งที่ได้มานอกจากปลากะตัก ยังมีลูกปลาอื่นๆอีกมากมาย ทั้งลูกปลาทู ลูกปลาหลังเขียว ลูกปลาอินทรี ลูกปลาซาร์ดีน มักว่ายเข้ามาเล่นแสงไฟที่ยังไม่มีโอกาสได้เจริญเติบโต เพราะทั้งหมดถูกลากขึ้นมา นำมาขายราคาถูก กลายเป็นอาหารสัตว์ แทนที่เมื่อเจริญเติบโตจะเป็นสินค้าเศรษฐกิจราคาสูงต้นสายปลายเหตุของลูกปลาทูถูกทำลายนี้ บรรจง นะแส ที่ปรึกษาสมาคมรักษ์ทะเลไทย ให้ข้อมูลว่า ปัญหาเกิดจากการทำประมงชายฝั่งของเรือประมง ใช้เครื่องมือทำลายทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม คือ อวนลาก อวนรุน และเรือปั่นไฟ เพราะเป็นเครื่องมือกวาดสัตว์น้ำแทบทุกชนิด ตั้งแต่สัตว์น้ำวัยอนุบาล มาถึงปลาใหญ่จริงๆแล้ว...ปัญหานี้เคยมีมาตั้งแต่ปี 2521-2523 ชาวประมงใช้วิธีการจับปลาด้วยตะเกียง มาเป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้าในการล่อฝูงปลา และพัฒนาการล่อฝูงปลา มาใช้ไฟเหนือผิวน้ำ ทำให้ทรัพยากรสัตว์น้ำถูกจับจนเสื่อมโทรมจากการทำประมงนี้เกินศักยภาพที่ธรรมชาติผลิตขึ้นมาทดแทนได้กลายเป็นห่วงโซ่ทางอาหารทะเลถึงขั้นวิกฤติสุดขีด ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศอย่างรุนแรงกระทั่งปี 2526 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ออกประกาศตามอำนาจ ใน ม.32 (1) และ (4) พ.ร.บ.การประมง พ.ศ.2490 เรื่องกำหนดห้ามไม่ให้ใช้เครื่องมืออวนมีช่องตาเล็กกว่า 2.5 ซม. เมื่อตาอวนเหยียดตรงใช้ประกอบกันกับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าในทำการประมงในอ่าวท้องที่จังหวัดชายทะเลทุกจังหวัดเด็ดขาดการจับลูกปลาเล็ก...ปลาน้อย “ปัญหาทุกอย่างจบสิ้น...หยุดลง” ...ทรัพยากรสัตว์น้ำเริ่มฟื้นฟู...ปลาทูขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว และพ่อแม่ปลามีขนาดโตเต็มที่...แต่ท้องทะเลสงบเงียบได้ไม่นาน การกลับคืนความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรยังได้ไม่เต็มที่...จุดเริ่มต้นการทำลายล้างเกิดขึ้นอีกครั้ง...ในปี 2539 สมัย พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ นั่งนายกฯ และ มณฑล ไกรวัตนุสสรณ์ นั่ง รมช.เกษตรฯ เปิดช่อง...แก้ไขประกาศปี 2526 ให้เรือปั่นไฟออกทะเลทำประมงในทะเลอ่าวไทยได้ มีผลให้กระบวนการลูกปลาทู และห่วงโซ่อาหารทางทะเล ถูกทำลายนับแต่นั้นเป็นต้นมา...ปัจจุบันพบว่า...ลูกปลาทูถูกนำมาตากแห้งขายเกลื่อนตลาดติดชายทะเล แบ่งขายกันเป็นห่อละประมาณ 1,200 ตัวต่อกิโลกรัม ราคา 100-120 บาท และยังมีในเว็บไซต์ขายลูกปลาทูตากแห้งกิโลกรัมละ 320 บาท หากปล่อยให้ปลาทูโตเต็มวัยขนาด 10–14 ตัวต่อกิโลกรัม...สามารถขายได้เป็นเงิน 8,000–10,000 บาทในเชิงมูลค่า...การนำลูกปลาทูมาขายลักษณะนี้ไม่สมกับการสูญเสีย...ควรปล่อยให้ลูกปลาทูโตเต็มที่แล้วนำไปขายให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจดีกว่า ถ้ามีการซื้อขายลูกปลาทูบริโภคกันแบบนี้ ถือว่าเป็นการสนับสนุนการทำลายลูกปลาทูหนักที่สุด เพราะไม่มีข้อกฎหมายเอาผิดได้ และยิ่งอาจมีผลให้ปลาทูสูญพันธุ์เร็วขึ้นเรื่องนี้มีชาวประมงพื้นบ้านหลายพื้นที่เห็นผลกระทบกันแล้ว เพราะสามารถจับปลาทูได้น้อยลง ทำให้ต้องรวมกลุ่มกัน “ต่อต้าน...” ไม่ให้มีการทำประมงเรือปั่นไฟ จนในพื้นที่ทรัพยากรพันธุ์สัตว์น้ำเพิ่มขึ้น“แต่นี่เป็นเพียงกลุ่มคนเล็กๆเท่านั้น ไม่อาจหยุดยั้งกระบวนการทำลายล้างลูกปลาทูไว้ได้ เพราะปัญหานี้หมักหมมมากว่า 23 ปี เกิดผลกระทบเป็นวงกว้าง...หากการแก้ปัญหาถาวร ต้องยกเลิกประกาศกระทรวงฯ ปี 2539 และหันมาใช้ประกาศปี 2526 แทน ซึ่งเป็นการยุติทำลายลูกปลาทูได้อย่างชัดเจน” บรรจง ว่าอีกความจริงที่ต้องพูดกัน...มาตรการควบคุมการทำการประมงในช่วงเวลา “ปิดอ่าวตอนกลางและตอนใน” หรือกำหนดเขตห้ามทำการประมงในพื้นที่ประมาณ 7 ไมล์ทะเล นับจากเขตชายฝั่งของเรือประมงพาณิชย์นั้น แม้มาตรการนี้ออกมาเข้มงวดเพียงใด...ก็ไม่เป็นผล...หากยังปล่อยให้ทำประมงด้วยเรือปั่นไฟต้นเหตุล่อลูกปลาทูด้วยแสงไฟ ถูกจับก่อนย้ายตามวงจรพื้นที่ปิดอ่าว เช่น ปิดอ่าวไทยตอนกลาง วันที่ 15 ก.พ.-15 พ.ค. ซึ่งเป็นช่วงวางไข่ปลาทู และตัวอ่อนเคลื่อนย้ายเข้าอ่าวไทยตอนใน เมื่อหมดช่วงปิดอ่าวไทยตอนกลางแล้ว ในระหว่างลูกปลาทูเคลื่อนย้ายก็ถูกเรือปั่นไฟล่อถูกจับก่อน...ปัญหานี้ก็กลับถูกมองข้าม ไม่มีใครสนใจ...“เดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา คณบดีกรมประมง ม.เกษตรศาสตร์ ลงพื้นที่สำรวจการจับลูกปลาทู...ถึงกับตกใจ มีเรือประมงพาณิชย์จับลูกปลาทู 2 ตันกว่า...หลังเปิดอ่าวไทยตอนกลางไม่กี่วัน...ถือว่าเป็นเรื่องน่าเสียดาย ที่ไม่ปล่อยให้ลูกปลาเติบโตขึ้น”การแก้ปัญหาป้องกันลูกปลาทูถูกจับนั้น...ต้องให้ออก พ.ร.ก.การประมง 2558 ตาม ม.57 ห้ามนำสัตว์น้ำเศรษฐกิจขนาดเล็กขึ้นเรือ...ที่ให้อำนาจ รมว.เกษตรฯ เป็นผู้ออกประกาศนี้...จนมาถึงวันนี้ผ่านมาแล้ว 4 ปี พ.ร.ก.การประมง 2558 ตาม ม.57 ก็ยังนอนหลับ...ยังไม่มีวี่แววจะคลอดออกมา...สาเหตุจากกลุ่มเรือใช้อวนลาก และเรือประมงพาณิชย์ ขัดขวางไม่ให้ออกกฎหมายนี้มา เพราะกระทบต่อการจับสัตว์น้ำ กุ้ง หอย ปู ปลา นำไปแปรรูปเป็น “ปลาป่น” และมีความพยายามใช้ “พลังภายในสู้กันอยู่” ระหว่างกรมประมง...และกลุ่มประมงพาณิชย์...เมื่อใด...กฎหมายนี้ออกมา...ที่มีบทลงโทษรุนแรง กลุ่มประมงต้องปรับกระบวนการจับสัตว์น้ำแบบใหม่ ให้ปลาเล็กสามารถหลุดรอดการจับออกไป...หากจับปลาเล็กขึ้นมา จะมีความผิดตาม ม.57 ทันทีทว่า...ความจริงแล้ว ควรยกเลิกทำปลาป่นแบบ by catch เพราะใช้วัตถุดิบจากทะเลไทย ทั้งลูกกุ้ง หอย ปู ปลา หรือพันธุ์สัตว์น้ำเศรษฐกิจวัยอ่อนมากมายมาป้อน ที่ได้จากทำประมงเรืออวนลาก อวนรุน หรือเรือปั่นไฟ และหยุดซื้อลูกปลานี้ จะช่วยให้สัตว์น้ำวัยอนุบาลกลายเป็นผลผลิตมูลค่ามหาศาลในอนาคตและหันมาทำปลาป่น by–product ที่ใช้เศษปลาที่ได้จากโรงงานแปรรูปสัตว์น้ำ หรือโรงงานผลิตกระป๋อง โรงงานผลิตลูกชิ้นปลา มาเป็นวัตถุดิบแทนลูกปลา ในแต่ละปีผลิตปลาป่นทั้งหมด 500,000 ตัน มีการส่งออกต่างประเทศ 300,000 ตัน และใช้ในประเทศ 200,000 ตัน เพราะปลาป่นเป็นแหล่งโปรตีนสูงราคาถูก...หากต้องการแก้ปัญหาลูกปลาถูกทำลาย ต้องยกเลิกการทำปลาป่นแบบ by catch เพราะเป็นการทำลายทรัพยากรของคนทั้งประเทศ และยิ่งมีการส่งออกมาก...ยิ่งมีการทำลายทรัพยากรมากเท่านั้นถือว่าเป็นเรื่องท้าทาย...ความกล้าหาญของ “รัฐบาล”...หยุดทำ “ปลาป่น” บางประเภท เพราะมีงานวิจัยกรมประมงพบว่า เรือประมงจับปลา 100 กิโลกรัม มีเพียง 33 เปอร์เซ็นต์ นำไปใช้เป็นอาหาร ส่วน 67 เปอร์เซ็นต์ ถูกคัดแยกเข้าโรงงานทำปลาป่น และปลาป่น 1 กิโลกรัม ต้องใช้ลูกปลามาเป็นวัตถุดิบ 4 กิโลกรัมลองมาคิดกันเล่นๆ ปลาป่น 1 กิโลกรัม ต้องใช้สัตว์น้ำวัยอ่อนประมาณ 4 กิโลกรัม หากผลิตปีละ 500,000 ตัน นั่นหมายความว่า...ปลาขนาดเล็กต้องตายไปปีละ 2,000,000 ตัน มาคิดกันต่อว่า...ในจำนวนนี้หากปล่อยให้ปลาโตเต็มวัย จะสร้างรายได้ทางเศรษฐกิจมากมายมหาศาลขนาดไหน ...ลองจินตนาการกันดูเอง...สิ่งสำคัญ...ธุรกิจปลาป่นมีกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ และมีบุคคลสำคัญในสภาผู้แทนราษฎรบางคนทำธุรกิจนี้ และให้การสนับสนุนกันอยู่ กลายเป็นว่าหน่วยงาน...“เกรงใจ” และความหวังแก้ปัญหาการทำลายสัตว์น้ำในทะเลคงลดน้อยลง เพราะไม่มีใคร...ที่จะเสนอกฎหมายทำลายธุรกิจทุบหม้อข้าวของตัวเองได้?“สัตว์น้ำทะเล” คือ “ทรัพยากร” ของคนทั้งชาติ...กุ้ง หอย ปู ปลา เป็นสมบัติของประเทศ การจับสัตว์น้ำขนาดเล็ก...มาทำลาย ก็เหมือนกับทำลายสมบัติของชาติด้วยเช่นกัน.